หุ้นทอง
บริหารเงินลงทุนดีๆชีวิตสบายมีเงินใช้ประจำ...ไม่ต้องทำงาน


 


 
 
ถ้ามีใครมาถามว่า “หากคุณต้องการมีเงินใช้ คุณต้องทำอย่างไร” คนส่วนน้อยจะตอบว่า ไปยืมเงินเพื่อน ยืมเงินญาติ ยืมเงินพี่น้อง แต่คนส่วนใหญ่รวมถึงคุณด้วยมักตอบว่า “ก็ทำงานสิ”

แต่มิสเตอร์ตลาดหลักทรัพย์ฯและคุณมยุรี โชวิกานต์ ขอถามคุณคุณมากกว่านี้อีกว่า “คุณต้องการมีเงินใช้ทุกเดือนหรือเปล่า โดยที่คุณไม่ต้องลงมือทำงานแต่ให้เงินทำงานแทน” เชื่อว่าคำถามนี้ น่าจะเป็นเรื่องที่คุณต้องถึงกับอ้าปากค้าง เพราะเป็นสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุด

ทั้งนี้การที่คุณมีเงินใช้ทุกเดือน โดยไม่ต้องออกแรง หากคุณจะมองว่าง่ายก็ง่ายและหากจะว่ายากก็ยากในการลงมือทำ เพราะขึ้นอยู่กับเงินต้นที่เริ่มลงทุนของคุณควรมีเท่าไรและผลตอบแทนที่คุณคาดหวังจากการลงทุนเฉลี่ยต่อปีควรเป็นเท่าไร เช่น ถ้าคุณต้องการรายได้ 10,000 บาทต่อเดือน หมายความว่าผลตอบแทนจากการลงทุนที่คุณจะได้ต้องไม่ต่ำกว่า 120,000 บาทต่อปี

หากคุณตั้งโจทย์นี้ไว้ในใจแล้วก็เริ่มลงมือคำนวณหาเงินต้นที่จะสร้างรายได้ต่อเดือนอย่างสม่ำเสมอหรือเรียกว่า Passive Income ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามระดับผลตอบแทนจากการลงทุนที่คาดหวังในแต่ละปี

 

 
 
 
จากตารางข้างต้น หากคุณลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 1% ต่อปี ก็ต้องเริ่มต้นลงทุนด้วยเงิน 12 ล้านบาท ฟังดูก็น่าจะหมดกำลังใจในการเริ่มต้นแล้ว อีกทั้งผลตอบแทนระดับนี้ ไม่สามารถชนะเงินเฟ้อในระยะยาวได้

หากคุณหาทางเลือกของการลงทุนแบบอื่นๆ เช่น หุ้น ซึ่งผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเฉลี่ย 10 ปี อยู่ที่ 8% ต่อปี บวกกับเงินปันผลราว 3% ต่อปี ก็ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นระดับล้านบาทกว่าๆ แต่แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมา คือ ความไม่แน่นอนในการลงทุน โอกาสสูญเสียเงินต้นก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน (High Risk High Return)

ดังนั้นจะดีกว่าหรือไม่ หากคุณเลือกลงทุนด้วยการเน้นสร้างรายได้สม่ำเสมอ (Passive Income) เพื่อลดโอกาสสูญเสียเงินต้นหรือลดความผันผวน ด้วยการลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยกระจายความเสี่ยงของการลงทุนได้เป็นอย่างดี

การลงทุนกองทุนรวม สามารถสร้างผลตอบแทนจากเงินปันผลได้เฉลี่ยปีละ 4-5% หมายความว่าเงินลงทุนตั้งต้นของคุณ ในการสร้าง Passive Income ประมาณ 2.4-3 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ไม่ไกลเกินเอื้อม

การคัดเลือกกองทุนรวมที่เน้นจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอพิจารณาจากประเภทกองทุนรวม หากต้องการผลตอบแทนเฉลี่ย 4-5% ต่อปี เช่น กองทุนกึ่งตราสารหนี้ที่เป็นการลงทุนในตราสารหนี้, กอง REIT และ Infrastructure Fund (IFF) ที่ลงทุนเฉพาะประเทศไทย และ/หรือกระจายพอร์ตการลงทุนไปต่างประเทศ ประวัติการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา เพื่อเป็นอัตราอ้างอิงผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี

ค่าบริหารจัดการ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ (Expense Ratio) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่แฝงใน NAV ที่กองทุนรวมจะหักเป็นรายวัน โดยที่ผู้ลงทุนไม่เห็นเป็นตัวเงิน รวมถึงค่าธรรมเนียมการขาย-การซื้อคืน เพราะแต่ละกองทุนจะมีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไม่เท่ากัน

โดยควรคัดเลือกกองทุนประเภทเดียวกัน 4-5 กองทุน เพื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงาน ผลตอบแทนจากเงินปันผล ค่าใช้จ่ายต่างๆจากนั้นก็เลือกกองทุนที่ตอบโจทย์ตัวเองได้มากที่สุด

หากวางเป้าหมายที่จะมี Passive Income ในระยะยาว เช่น 10 ปีข้างหน้า หรือหลังเกษียณจากการทำงาน ควรเริ่มลงทุนตั้งแต่วันนี้ เพื่อสร้างฐานของเงินต้นที่จะนำไปสู่การสร้าง Passive Income ในอนาคต ซึ่งวิธีที่ดีและมีประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง คือ การลงทุนแบบสม่ำเสมอทุกๆ เดือน (Dollar Cost Average : DCA) ยิ่งมีเวลาในการสร้างเงินต้น เช่น 10 ปีขึ้นไป การลงทุนแบบ DCA ผ่านกองทุนรวมจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

การลงทุนในปัจจุบันมีความหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทุนรวมซึ่งมีจุดเด่นในการกระจายความเสี่ยงภายในกองทุน แต่การเลือกลงทุนในกองทุนรวมแบบใด อย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การลงทุนของตัวเองเป็นสำคัญ บนระดับความเสี่ยงที่รับได้มากน้อยเพียงใด

การสร้าง Passive Income ถือว่าเป็นโจทย์ที่สามารถทำได้ไม่ยาก เพียงแต่ต้องศึกษาลักษณะของกองทุน ประวัติการจ่ายเงินปันผล ค่าบริหารจัดการ ค่าธรรมเนียมการซื้อ-ขายคืน และนำมาเปรียบเทียบกับกองทุนรวมประเภทเดียวกัน เพื่อเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับตัวเองให้ได้มากที่สุด การลงทุนเพื่อสร้าง Passive Income ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่ยาก คือ การเริ่มลงมือลงทุนถ้าคุณทำได้รับรองคุณมีเงินใช้ไปตลอดชีวิต

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 23 ธ.ค. 2562 เวลา : 13:46:54
28-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 28, 2024, 8:44 pm