ดัชนีมีการปรับตัวขึ้นต่อทำ New high โดยผ่านขึ้นไปทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 75 วันแถวๆ 1,604 จุด ก่อนที่จะถูกขายทำกำไรกลับลงมา โดยดัชนีได้อ่อนตัวกลับลงมาปิดต่ำกว่าเส้น Bollinger Top ในช่วงท้ายตลาดอีกด้วย ท่ามกลางความผันผวนได้เกิดสัญญาณ Golden cross แล้ว
วันนี้ (6 ม.ค.) ดัชนีมีโอกาสอ่อนตัวลงมาอีกเล็กน้อยแถวๆ เส้นค่าเฉลี่ย 5 วันที่ 1,588 จุด ก่อนที่จะดีดกลับขึ้นรอบใหม่ได้ โดยมีแนวต้านระยะสั้นที่เดิมแถวๆ เส้นค่าเฉลี่ย 75 วัน ที่ 1,604 จุด ผ่านหรือปิดเหนือเส้นดังกล่าวได้ ค่อยเพิ่มลุ้นขึ้นต่อแถวๆ 1,620 จุดต่อไป
ส่วนหุ้นที่น่าจับตามองในสัปดาห์นี้ ได้แก่ หุ้น PTG ซึ่งมีแนวรับ 17.20-17.00 บาท และมีแนวต้านที่ 17.90 , 18.30 บาท โดยระดับราคาดีดกลับขึ้นทำ New high ในรอบ 2 สัปดาห์ โดยผ่านขึ้นมายืนปิดเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันได้ อีกทั้งยังมีวอลุ่มซื้อขายเพิ่มสูงมาก ในขณะที่ MACD เริ่มดีดกลับขึ้นมาตัด SIGNAL แล้วแต่ยังไม่พ้นศูนย์ หากวันนี้ระดับราคาไม่ถอยกลับลงมาหรือปิดต่ำกว่า 17.20-17.00 บาทซะก่อน ระดับราคาจึงจะมีลุ้นดีดกลับขึ้นต่อแถวๆ 17.90 บาทและเส้นค่าเฉลี่ย 75 วันที่ 18.30 บาทต่อไป
ส่วนหุ้น GULF มีแนวรับ 168.50-168.00 บาท และมีแนวต้าน 175.50-176.00 บาท โดยระดับราคาดีดกลับขึ้นทำ New high วันต่อวันต่อเนื่อง หลังจากผ่านขึ้นมายืนปิดเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 5 วันได้ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ที่แล้วโดยไม่หลุดลงมาปิดต่ำกว่าอีกเลย ในขณะที่ MACD กำลังจะดีดกลับขึ้นยืนเหนือศูนย์แล้ว หากวันนี้ระดับราคาไม่ถอยกลับลงมาหรือปิดต่ำกว่า 168.50-168.00 บาทซะก่อน ระดับราคาจึงจะมีลุ้นขยับขึ้นต่อแถวๆ จุดสูงสุดเดิมในรอบ 3 สัปดาห์และเส้น Bollinger Top ที่ 175.50-176.00 บาทต่อไป
ขณะที่หุ้น BGRIM มีแนวรับ 52.50 บาท มีแนวต้าน 53.25 , 54.25-54.50 บาท โดยมีระดับราคามีการปรับตัวลดลงเล็กน้อยแต่ไม่ทำ New low อีกทั้งยังประคองตัวปิดเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 5 วันได้พร้อมดีดกลับ หลังจาก MACD ผ่านขึ้นมายืนเหนือระดับศูนย์ได้เมื่อ 4 วันที่แล้ว ในขณะที่วอลุ่มซื้อขายยังไม่เพิ่มขึ้น หากวันนี้ระดับราคาไม่ถอยกลับลงมาทำ New low ต่ำกว่า 52.50 บาทอีกและทำ New high ผ่าน 53.25 บาทได้ มีโอกาสที่ระดับราคาจะดีดกลับขึ้นต่อแถวๆ 54.25-54.50 บาทต่อไป
ขณะที่บรรยากาศการลงทุนในตลาดทองคำปี 2562 ที่ผ่านมา โดยราคาทองคำโลกสิ้นปีอยู่ที่ 1,517.18 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากเมื่อสิ้นปี 2561 อยู่บริเวณ 1,282.19 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เท่ากับเปลี่ยนแปลงปรับขึ้นถึง 234.99 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เทียบเท่ากับปรับขึ้นถึง 18.33%ต่อปี
ล่าสุด ณ เวลา 9.00 น. เมื่อวันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมา ราคาทองคำโลกอยู่ที่ 1,533 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ปรับขึ้นต่อเนื่องจากสิ้นปี 2562 ราคาทองคำโลกปี 2562 ที่ผ่านมาปรับขึ้นมาสุดในรอบหลายๆปี โดยทำจุดต่ำสุดและสูงสุดไว้ที่ 1,266.39-1,556.94 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งได้ปัจจัยหนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐถึงสามครั้งในปี 2562
นอกจากนี้ประเด็นความไม่ชัดเจนของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีนในเรื่องสงครามการค้า ก็ยังเป็นอีกปัจจัยหลักที่หนุนราคาทองคำโลกปรับขึ้นมามากในปีที่ผ่านมา อีกทั้งได้ปัจจัยหนุนจากความไม่ชัดเจนเรื่อง Brexit และที่สำคัญอีกประเด็นคือความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะชะลอตัวในอนาคต
ราคาทองคำโลกปรับขึ้นในปี 2562 ถึง 18.33% มากกว่าราคาทองคำแท่งในไทยที่ปรับขึ้นเพียง 9.40% เท่านั้น เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า 7.81%ในช่วงเวลาเดียวกัน
ผลตอบแทนของราคาทองคำโลกและทองคำไทย เอาชนะผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยที่ในปี 2562 นั้น ให้ผลตอบแทนเพียง 1.02% (ไม่นับรวมอัตราปันผล) แต่แม้ราคาทองคำโลกปรับขึ้นมากในปีที่ผ่านมา แต่ผลตอบแทนก็ยังแพ้ให้กับตลาดหุ้นสหรัฐ โดยดัชนีดาวโจนส์ปรับขึ้นถึง 22.69% ในปี 2562
สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐปี 2562 แข็งค่าขึ้นถึง 2.52 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งสิ้นปี 2562 อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอยู่ที่ 29.760 บาทต่อดอลลาร์ จากสิ้นปี 2561 อยู่ที่ 32.28 บาทต่อดอลลาร์ โดยระหว่างปี 2562 แกว่งตัวในกรอบ 29.745-32.420 บาท
คำแนะนำ สำหรับนักลงทุนระยะสั้น ราคาทองคำโลกปรับขึ้นมาถึงเป้าหมาย 1,520 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามที่ได้แนะนำไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แม้จะถึงเป้าหมายแล้ว แต่แรงซื้อทองคำยังมีอย่างต่อเนื่อง การเก็งกำไรต้องใช้ความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นจนกว่าจะมีการพักฐานบ้าง เพื่อลดความร้อนแรงในระยะสั้น เป้าหมายถัดไปอยู่ 1,550-1,565 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยแนวรับระยะสั้นจะอยู่บริเวณ 1,520 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นแนวต้านเดิม ถ้าราคาไม่ต่ำกว่าบริเวณนี้ ยังซื้อเก็งกำไรสั้นหรือถือทองคำต่อไปได้อยู่
สำหรับนักลงทุนระยะยาว ยังแนะนำถือทองคำต่อไป เป้าหมายปีนี้อยู่บริเวณ 1,650-1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ข่าวเด่น