แม้ตั้งแต่ต้นปีนี้ที่ผ่านมาจะเห็น Fund Flow ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาค 664 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่เป็นการสลับซื้อสลับขายในรายประเทศโดยประเทศที่ถูกซื้อสุทธิ คือ เกาหลีใต้ อินโดนีเซียและไทย ส่วนอีก 2 ประเทศที่ถูกขายสุทธิ คือ ไต้หวันและฟิลิปปินส์ เป็นต้น
หากมาดูเฉพาะตลาดหุ้นไทย เริ่มต้นปีมานักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 74 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือราว 2.2 พันล้านบาท แต่จะเห็นว่าเป็นการซื้อสุทธิต่อเนื่องเฉพาะในช่วงแรกและเริ่มสลับมาขายสุทธิใน 2 วันที่ผ่านมาราว 1.9 พันล้านบาท สวนทางกับประเทศอื่นที่ส่วนใหญ่จะซื้อสุทธิ
ฝ่ายวิจัยลบ.เอเซียพลัส หรือ ASP ประเมินว่า Fund Flow จากต่างชาติ ยังมีโอกาสชะลอการไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอยู่ ด้วยหลายปัจจัย ได้แก่ 1.ประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศยังคงยืนระดับกำแพงภาษีนำเข้ากันรวม 4 รอบ แม้ระยะสั้นจะผ่อนคลายจากการเจรจาเพื่อสงบศึกก็ตาม
2.เศรษฐกิจไทยในปี 2563 ฝ่ายวิจัยฯคาดขยายตัว 2.8% ดีขึ้นเล็กน้อย จาก 2.7% ในปี 2562 แต่ยังมีโอกาสขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพราะหลักๆมาจากปัจจัยกดดันเรื่องหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูง ปัญหาภัยแล้งมากสุดในรอบ 40 ปี และเศรษฐกิจไทยเติบโตน้อยกว่าเศรษฐกิจโลก ที่ IMF คาดว่าจะขยายตัว 3.4% ทำให้เสน่ห์ของหุ้นไทยน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นในภุมิภาค
และ 3.ที่สำคัญคือแนวโน้มค่าเงินบาทที่มีโอกาสกลับมาอ่อนค่า หลังจากในปี 2562 ที่ผ่านมาแข็งค่ากว่า 7.8% (สูงสุดในภูมิภาค) หากค่าเงินบาทแข็งค่าไปมากกว่านี้ถือเป็นอุปสรรคต่อธุรกิจส่งออก ดังนั้นในช่วงที่ผ่านมาจึงเริ่มเห็นธปท.ออกมาตรการสกัดการแข็งค่าของเงินบาท ทั้งป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท และเอื้อประโยชน์ให้เงินทุนไหลออก
นอกจากนี้ล่าสุดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นเร็ว จาก 2.23 แสนล้านบาท มาอยู่ที่ 2.27 แสนล้านบาท แสดงให้เห็นว่ามีความต้องการเงินดอลลาร์หรือต้องการขายเงินบาทเร่งตัวขึ้น เป็นอีกแรงที่ช่วยให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าได้ ส่งผลให้ต่างชาติลังเลในการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น เพราะถ้าค่าเงินบาทอ่อน นักลงทุนต่งชาติมีโอกาสขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
ข่าวเด่น