กระแสร้อนแรง ที่กดดันตลาดหุ้นทั่วโลกตอนนี้ คือเรื่องการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่ระบาดจากคนไปสู่คน (Human-to-Human) ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิด “โรคปอดอักเสบ” มีการระบุว่าไวรัสนี้มีจุดกำเนิดที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และปัจจุบันขยายวงกว้างมากขึ้น
ล่าสุด พบจำนวนผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 291 คน มีผู้เสียชีวิต 6 คน ตอนนี้ในสหรัฐฯ พบมีผู้ติดเชื้อ 1 ราย และเอเซียอีกหลายประเทศ เช่น ปักกิ่ง เกาหลีใต้ และไทย โตเกียว เป็นต้น
ในเบื้องต้น ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส หรือ ASP มองว่าประเด็นดังกล่าวเป็นความเสี่ยง กระทบต่อยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวไทยในอนาคต แม้ว่าตัวเลขผู้ใช้บริการสนามบินของ AOT ระหว่างวันที่ 1-18 ม.ค. 2563 จะยังขยายตัวได้ 1.7% yoy ดีขึ้นจากเดือนธ.ค. 2562 ที่ทรงตัว บวก 0.6% yoy
แต่เชื่อว่ามีโอกาสที่นักท่องเที่ยวต่างชาติ จะชะลอลงในอนาคต ซึ่งต้องติดตามว่าการควบคุมการแพร่กระจายของโรคจะทำได้เร็วเพียงใด
ขณะที่คาดว่าจะกระทบต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวไทยของนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเดินทางไปทั่วโลกมีกว่า 180 ล้านคนต่อปี
นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยฯ ได้ไปศึกษาข้อมูลในอดีต พบว่า ในปี 2546 เกิดเหตุการณ์โรคเชื้อไวรัสโคโรนาคล้ายกัน คือ โรคซาร์ส (SARS) คือโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง เริ่มจากพื้นที่มณฑลกวางตุ้งของจีน และกระจายไปหลายประเทศ ครั้งนั้น มีผู้เสียชีวิต 774 คน จากจำนวนผู้ป่วย 8,098 คน
ระยะพบโรค SARS จนถึงระยะกำจัดโรคหมด ใช้ราวเวลา 8 เดือน คือ เดือนพ.ย.2545 - ก.ค.2546 ในครั้งนั้นกระทบต่อภาคท่องเที่ยวไทย โดยนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทยปี 2546 ลดลง 7% yoy และนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทย ลดลงถึง 24%yoy
ทั้งนี้ในปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีน มีสัดส่วนราว 28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทย เทียบกับปี 2546 ที่มีสัดส่วนราว 6-7%
ในปี 2555 เกิดโรคเชื้อไวรัสโคโรนา คือ โรคเมอร์ส (MERS-Cov) เริ่มต้นจากตะวันออกกลาง และระบาดทั่วโลก ผู้เสียชีวิต 1,800 คน จากจำนวนผู้ป่วย 787 คน แต่ในครั้งนั้น ไม่กระทบภาคท่องเที่ยวไทย
โดยนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทยปี 2556 ขยายตัว 19% yoy และนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้น 66% yoy เพราะเศรษฐกิจจีนขยายตัว และนักท่องเที่ยวยังไม่กังวลต่อโรคนี้เท่าใดนัก
ดังนั้น ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่า การระบาดของไวรัสโคโรนารอบนี้ จะคล้ายในอดีต คือ เป็นลบต่อหุ้น ดังต่อไปนี้
กลุ่มการบิน การเดินทางท่องเที่ยวมีความเสี่ยงจะชะลอตัว โดยฝ่ายวิจัยฯคาดมีความเสี่ยงสูงที่จะกระทบต่อผู้ประกอบการที่มีรายได้จากลูกค้าจีน ซึ่งในปัจจุบัน AAV, AOT, THAI และ BA มีสัดส่วนรายได้จากชาวจีนราว 30%, 15%, 8% และ 2% ตามลำดับ
โดยภาพรวมจึงยังคงให้น้ำหนักการลงทุนกลุ่มการบิน “น้อยกว่าตลาด” ระยะสั้นแนะนำให้ชะลอการลงทุนในกลุ่มการบินไปก่อน
กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม แนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุน เนื่องจากกระทบหุ้นในกลุ่มทุกตัว โดยเฉพาะ ERW ซึ่งมีสัดส่วนรายได้มาจากโรงแรมในประเทศมากสุดราว 90% ของรายได้ทั้งหมด ขณะที่ MINT และ CENTEL กระทบเช่นกัน
โดย MINT มีธุรกิจที่กระจายคือ รายได้จากโรงแรมสัดส่วนราว 73% ของรายได้ทั้งหมด และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม 19%, อื่นๆ 8% ขณะที่ CENTEL รายได้จากโรงแรมราว 40% แต่มีสัดส่วนจากธุรกิจอาหารสูง 60%
ข่าวเด่น