บล.โกลเบล็ก มองตลาดหุ้นไทยเคราะห์ซ้ำกรรมซัด หลังไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ ไข้หวัดนกระบาดซ้ำอีก กดดันความเชื่อมั่น และเศรษฐกิจโลก ล่าสุดหลายสถาบันวิจัยในไทยหั่น GDP ลงเป็นแถวหลังการท่องเที่ยวทรุด และภัยแล้งที่รุนแรงมากกว่าปีก่อน บวกสถานการณ์การเมืองไม่มั่นคง จึงให้กรอบดัชนี 1,485-1,525 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นได้อานิสงส์ค่าบาทอ่อน และการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่า-ไข้หวัดนก ชู TU- CPF – TFG ส่วนทิศทางราคาทองคำคาดเคลื่อนไหวในกรอบ 1,565-1,605 ดอลลาร์ หลังนักลงทุนแห่ซื้อทองซึ่งเป็นสินค้าปลอดภัย
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลง จากความวิตกกังวลการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่และยังมีการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก H5N1 ในมณฑลหูหนานประเทศจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โดยล่าสุดหลายสำนักวิจัยต่างปรับลดประมาณการณ์ GDP ปี 2563 ลง ซึ่งเป็นผลกระทบจากการท่องเที่ยวชะลอตัว รวมทั้งภาวะภัยแล้งในปีนี้ที่มีท่าทีรุนแรงมากกว่าปีที่แล้ว
อีกทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์ เศรษฐกิจโลกปี 2563 เหลือ 3.3% จากเดิม 3.4% จากผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ภาพรวมเศรษฐกิจที่อ่อนแอของประเทศเกิดใหม่อย่างประเทศอินเดีย ขณะที่ประเทศจีนเปิดเผยกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ร่วงลง 6.3% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ทั้งปี 2562 กำไรภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลง 3.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งลดลงมากกว่าในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2562 ที่ลดลงเพียง 2.1%
นอกจากนี้สถานการณ์ในประเทศ โดยเฉพาะสถานการณ์ทางการเมืองซึ่งพรรคฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล โดยพุ่งเป้าไปที่ตัวนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 5 กระทรวง ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการลงทุนในระยะสั้น จึงให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีที่ระดับ 1,485-1,525 จุด
รวมทั้งยังคงต้องจับตาการรายงานสถานการณ์การส่งออกของสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สภาผู้ส่งออก) รวมถึงสภาธุรกิจตลาดทุนไทย แถลงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนและอัพเดตสถานการณ์ลงทุนในวันนี้ และวันที่ 5 ก.พ. ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ครั้งที่ 1/2563 เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย พร้อมทั้งการประชุมคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.) และจีนเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนม.ค. ส่วนอียูเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนม.ค. และสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนม.ค. ดุลการค้าเดือนธ.ค. ดัชนี
ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนม.ค. ดัชนีภาคบริการเดือนม.ค. และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ ส่วนวุฒิสภาสหรัฐ กำหนดลงมติญัตติการถอดถอนประธานาธิบดีซึ่งตรงกับเวลาในไทย 4.00 ของวันที่ 6 ก.พ.
ขณะที่วันที่ 6 ก.พ. สหรัฐเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และวันที่ 7 ก.พ. ญี่ปุ่นเปิดเผยการใช้จ่ายภาคครัวเรือนเดือนธ.ค. ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนธ.ค. รวมทั้งจีนเปิดเผยยอดส่งออก นำเข้า ดุลการค้าเดือนม.ค. และทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเดือนม.ค. และสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนม.ค. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนธ.ค.
ด้านนางสาว วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวเพิ่มเติมว่า ในแง่ของภาพรวมในประเทศนั้น น่าจะส่งผลเชิงบวกระยะสั้น โดยรัฐบาลเตรียมออกแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ด้านการท่องเที่ยว การปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบิน และยืดระยะเวลายื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลออกไปอีก 3 เดือน รวมทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่องเมื่อเทียบกับต้นปีเห็นได้จากเดือนม.ค. 2563 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 30.44 บาทต่อดอลลาร์ซึ่งอ่อนค่าในรอบ 9 เดือนเป็นผลดีต่อการส่งออกในปี 2563 ที่มีโอกาสกลับมาขยายตัว
ขณะเดียวกันธนาคารกลางจีนประกาศอัดฉีดเงินสดเพิ่มอีก 9 แสนล้านหยวน หรือ 1.29 แสนล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบผ่านทางข้อตกลง reverse repo เพื่อรักษาสภาพคล่องในระบบ รวมทั้งเตรียมใช้มาตรการต่างๆ เพื่อรับมือผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เป็นการส่งสัญญาณที่ดีในการพยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์การลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า ได้แก่ TU และ CPF และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากไข้หวัดนกระบาดในมณฑลหูหนาน ได้แก่ TU CPF และ TFG
ส่วนราคาทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ราคาทองคำในสัปดาห์นี้ เคลื่อนไหวในกรอบ 1,565-1,605 ดอลลาร์ หรือ 23,070 – 23,720 บาทต่อทองคำ โดยได้แรงหนุนจากความกังวลเรื่องไวรัสโคโรน่า ที่มีการแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ที่จีนยังมีการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกเพิ่มเติมทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนซื้อสินค้าปลอดภัยและขายสินทรัพย์เสี่ยง อาทิ หุ้น น้ำมัน
ข่าวเด่น