หุ้นทอง
เงินกำลังหมุนเข้าหาหุ้นราคาถูกพื้นฐานแกร่ง


ปัจจัยรุมเร้าตลาดหุ้นไทยมีอย่างมากมายกดให้ SET Index ลงไปเคลื่อนไหวต่ำกว่า 1,500 จุด ตัวกดหลักมาจากการระบาดของไวรัสโคโรนา หรือ COVID-19 ที่กระทบเศรษฐกิจทั่วโลก แม้ว่าขณะนี้มีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้นแต่ก็ยังเป็นประเด็นที่ยืดเยื้อ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้สหรัฐฯ (Fedwatch) ประกาศว่ามีโอกาสลดดอกเบี้ยนโยบายลงในช่วงกลางปี 2563 นี้ และทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง เช่น ราคาทองคำ (Gold Spot) อยู่ที่ระดับ 1620.20 จุด สูงสุดในรอบ 7 ปี และ Bond Yield ก็ต่ำเช่นเดียวกับ Bond Yield 1 ปีของไทยที่ระดับ 0.95% (ต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบาย)

 
 
 
 
ขณะที่ Fund flow ของต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาคสูงถึง 2,655 ล้านดอลลาร์ (ytd) โดยเป็นการขายสุทธิทุกประเทศ เริ่มจากไต้หวันถูกขายสุทธิกว่า 1,200 ล้านดอลลาร์ เกาหลีใต้ 326 ล้านดอลลาร์ ฟิลิปปินส์ 14 ล้านดอลลาร์ อินโดนีเซีย 14 ล้านดอลลาร์ และไทยที่ยังคงขายสุทธิต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 กว่า 970 ล้านดอลลาร์ หรือ 3 หมื่นล้านบาท 
 
การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการระบาดของ COVID-19  ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่ากว่า 5% (ytd) ขณะที่โดยปกติแล้วเวลาค่าเงินบาทอ่อนมักเป็นอุปสรรคต่อการไหลเข้าตลาดหุ้นของ Fund flow อย่างมีนัยสำคัญ
 
 
 
 
ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส หรือ  ASPS เชื่อว่า Fund Flow ยังมีโอกาสชะลอไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ตราบใดที่ประเด็น COVID-19 ยังมีอยู่บวกกับค่าเงินบาทที่เพิ่งทะลุแนวต้านสำคัญที่ระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ด้วย น่าจะกดดันให้ SET Index ขึ้นได้ยาก ลองมาดูตลาดหุ้นไทยช่วงวันที่ 17-20 ก.พ.2563 ปรับตัวลดลงทุกวันรวมแล้ว 35 จุด หรือ 2.3% โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม non-oil และกลุ่มการเงินที่ถูกขายออกมามาก  

 
 
ฝ่ายวิจัยฯจึงได้สำรวจผลตอบแทนราย Sector เพื่อให้เห็นภาพ พร้อมกับแบ่งแยกผลตอบแทนกลุ่ม Energy เป็นกลุ่มน้ำมัน และกลุ่มพลังงานอื่นๆที่ไม่ใช่น้ำมันออกจากกัน พบว่า ในสัปดาห์นี้หุ้นน้ำมันปรับตัวขึ้นร้อนแรงสุดกว่า 2.5% เช่น PTT บวก 4.0%, PTTEP บวก 1.6% และฝ่ายวิจัยฯได้เลือกหุ้นกลุ่มนี้เป็น Top Pick ตลอดในสัปดาห์นี้
ตรงข้ามกับกลุ่ม Non-Oil ที่ปรับตัวลงแรงถึง -2.9% เช่น  BPP ลบ 6.4%, EA ลบ 5.6%, BGRIM ลบ 5.0%, GULF ลบ 4.3% ทั้งนี้ล่าสุดหุ้นในกลุ่ม Energy มีสัดส่วนหุ้นน้ำมัน และพลังงานอื่นๆ ใกล้เคียงกัน อีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกขายทำกำไรออกมาแรงช่วงนี้ คือ กลุ่มการเงินปรับตัวลงถึง 6.4% นำโดย  BEM ลบ 15.4%, JMT ลบ 12.4% และ MTC ลบ 11% เป็นต้น
 
ฝ่ายวิจัยฯมองว่าสภาพตลาดที่ยังขาดเม็ดเงินใหม่เข้ามาหนุน กลยุทธ์การลงทุนต้องเน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และราคาไม่แพง เพราะมีโอกาสจะถูกขายทำกำไรยาก นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
 
โดยหุ้น Top Pick วันนี้ เลือก PTTEP เนื่องจากได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และ CPF ที่กำไรปกติไตรมาส 4 ปี 2562 ยังเติบโตโดดเด่นกว่า 150% yoy และ 28.6%qoq รวมทั้งยังได้แรงหนุนจากเงินบาทอ่อนค่ากว่า 5% ytd ด้วย

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 21 ก.พ. 2563 เวลา : 20:40:32
29-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 29, 2024, 12:44 am