ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะเมื่อวานนี้ (24ก.พ.) ดัชนีหุ้นไทยที่ปรับฐานตามกว่า 4% ผลจากความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งแม้ว่าที่จีนสถานการณ์เริ่มดีขึ้นแต่การแพร่ระบาดในขณะนี้ได้ขยายวงกว้างไปสู่ประเทศอื่นๆ ทำให้ผลกระทบที่เกิดขึ้น กินเวลานานกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้
โดยภาพรวมแล้วเศรษฐกิจโลกมีโอกาสชะลอตัวลง สะท้อนได้จากเม็ดเงินที่ไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ทั้งพันธบัตรรัฐบาลและทองคำ ส่วนตลาดหุ้น หากดูจากผลตอบแทนรวม (Total Return) คือ ผลตอบแทน + กำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน พบว่า ตลาดหุ้นไทยมี Total Return (ytd) ลดลงมากสุดในภูมิภาคกว่า 14.2%
แสดงให้เห็นว่าเม็ดเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทยพอสมควร แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าตลาดหุ้นจีนที่เป็นจุดเริ่มต้นของโรค COVID-19 กลับค่อยๆฟื้นตัว จนล่าสุดมี Total Return (ytd) ลดลงเพียง 1.6% เท่านั้น ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่าเม็ดเงินลงทุนไหลกลับในตลาดหุ้นจีนมากขึ้น ดังนั้นเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยเองน่าจะซึมซับปัจจัยลบเรื่องโรค COVID-19 ในระดับหนึ่งแล้ว
หากพิจารณา Valuation ของ SET Index ที่ระดับ 1435.56 จุด โดยการหา Market Earning Yield Gap ภายใต้ คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 63(EPS63) ในระดับระหว่าง 85-90 บาทต่อหุ้น พร้อมกับใช้ Bond Yield 1 ปี ณ ปัจจุบัน ที่ 0.93% จะได้ Market Earning Yield Gap ช่วง 5.0 - 5.3% ถือว่ากว้างมากเที่ยบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 4.28% ทำให้มีหุ้นราคาถูกที่พื้นฐานแข็งแกร่งน่าลงทุนอยู่จำนวนมากในตอนนี้ ดังนั้นหากเรื่อง COVID-19 เริ่มผ่อนคลาย น่าจะเป็นจังหวะเข้าสะสมลงทุนหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง
โดยกลยุทธ์การลงทุนแบ่งออกเป็น 2 ธีม คือ หุ้นปันผลสูงน่าจะเป็นเป้าหมายอันดับแรกๆ ของ Fund Flow ยามดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ แนะนำ MCS, PYLON, DIF
และหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง แนวโน้มกำไรเติบโตโดดเด่นเหนือตลาด แนะนำ CPF, CPALL
ข่าวเด่น