หลังจากตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 จนทำให้คุณในฐานะผู้ลงทุน ไม่ว่าผู้ลงทุนรายเล็ก รายใหญ่ สถาบันต่างชาติ ตื่นตะลึงจนต้องเร่งหันหัวเรือ ปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่ เพื่อลดความเสี่ยง ภายใต้ภาวะความเสี่ยงที่ร้อนแรงขนาดนี้ คงต้องเกิดคำถามตามมามากมายก็คือ แล้วจะมีหุ้นประเภทไหนที่คุณสามารถลงทุนแล้วสบายใจ
แต่ก่อนที่มิสเตอร์ตลาดหลักทรัพย์ฯและคุณอาภาภรณ์ แสวงพรรคจะตอบคำถามต้องขอย้อนรอยและลำดับเหตุการณ์ไวรัส COVID-19 กับดัชนีหุ้นไทยกันสักนิด คุณจะเห็นความรุนแรงของไวรัส COVID-19 ที่กระทบดัชนีหุ้นไทย ในวันที่ 14 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา เพราะเป็นวันแรกที่ประเทศไทยรายงานว่าคนไทยรายแรกที่ติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยในวันนี้ หุ้นไทยปิด 1,586.90 จุด แต่วันถัดมา 15 มกราคม 2563 ดัชนีหุ้นปิด 1,581.05 จุด ต่อมาวันที่ 30 มกราคม 2563 ดัชนีหุ้นไทยปิด 1,514.14 จุด และในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนอย่างหนักตลอดเวลา เพราะความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ COVID-19
ต้องยอมรับว่า ไวรัส COVID-19 มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเต็มๆซึ่งเดิมทีเศรษฐกิจไทยก็ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ นอกจาก COVID-19 แล้ว ปัจจัยที่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังมีอีกมากมาย เช่น งบประมาณล่าช้า โครงสร้างพื้นฐานมีการปรับเปลี่ยนในหลายอุตสาหกรรม มีผลกระทบต่อการจ้างงาน เช่น ธุรกิจบริการ เริ่มหันมาใช้ระบบออนไลน์ โรงงานอุตสาหกรรมใช้ ROBOT มากขึ้น แม้เงินบาทจะอ่อนค่าลงซึ่งเป็นผลดีต่อการส่งออก แต่เมื่อเจอกับ COVID-19 การส่งออกก็ต้องชะลอตัว ประเด็นการเมืองก็จะคอยรบกวนเป็นระยะๆ ขณะเดียวกันภาระหนี้ครัวเรือนไทยอยู่ในระดับสูง ทำให้การบริโภคมีการเติบโตแบบจำกัด
รวมถึงภาวะภัยแล้งได้เริ่มมีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ก่อนจะมี COVID-19 รัฐบาลได้ขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการปรับลดกำลังการผลิตลง 10% เพราะกังวลปัญหาภัยแล้ง แต่ตอนนี้ไม่ต้องขอความร่วมมือแล้ว ผู้ประกอบการปรับลดกำลังการผลิตลงโดยอัตโนมัติ จากเดิมประเมินว่า COVID-19 จะกระทบแค่ธุรกิจท่องเที่ยวและระยะสั้นๆ เท่านั้น แต่ปัจจุบันมีผลกระทบในวงกว้าง เช่น ห่วงโซ่การผลิต การตลาด เพราะมีสินค้าบางอย่างมีความต้องการ (Demand) แต่ขนส่งไม่ได้ ที่สำคัญจีนคือ ห่วงโซ่การผลิต การตลาดที่สำคัญของโลก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ ปิโตรเคมี อิเล็กทรอนิกส์ จึงมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลก
แต่ก็ยังมีอุตสาหกรรมบางอย่างที่ได้รับประโยชน์จาก COVID-19 เช่น มันสำปะหลัง ซึ่งจีนต้องการนำเข้าเพื่อนำไปผลิตแอลกอฮอล์ ส่วนเม็ดพลาสติกจะนำไปผลิตหน้ากากอนามัย สิ่งทอบางประเภท โดยผู้ประกอบการในไทยได้รับคำสั่งซื้อเพิ่ม หลังสิ่งทอในจีนได้รับผลกระทบ แต่ปัจจัยบวกที่มียังอยู่ในระดับเล็กน้อย เมื่อเทียบกับปัจจัยลบอันมหาศาลจาก COVID-19
ดังนั้นตลาดหุ้นจึงได้รับผลกระทบจาก COVID-19 โดยปัจจุบันตลาดหุ้นไทยมี P/E Ratio อยู่ระดับ 15.5 - 15.8 เท่า ถือว่าไม่ได้ถูกมากนัก ประเมินว่า “P/E Ratio อาจปรับลดลงได้ต่ำกว่า 15 เท่า หาก Earning Growth เติบโตลดลง”
นอกจากนี้ระดับความเสี่ยงของนักลงทุนในตลาดหุ้นที่ยอมรับได้ (Risk Appetite) ลดต่ำลง ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่สะท้อนอย่างชัดเจน คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) กับราคาทองคำแท่ง ปัจจุบัน Bond Yield ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนโยกย้ายเงินมาลงทุนพันธบัตร ขณะที่ราคาทองคำแท่งปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือค่าเงินดอลลาร์ยังแข็งค่า สะท้อนว่านักลงทุนกลัวความเสี่ยง จึงย้ายเงินมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากขึ้น
อีกทั้งหลังจาก COVID-19 หยุดการแพร่ระบาดแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีนจะยังไม่เดินทางท่องเที่ยวในเร็วๆ นี้ และคาดว่ารัฐบาลจีนต้องออกมาตรการ “จีนเที่ยวจีน” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจตัวเอง
ดังนั้นกลายเป็นว่า หลังจาก COVID-19 หยุดแพร่ระบาด ทุกประเทศจะเริ่มฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศตัวเอง และพยายามเก็บกักเงินเอาไว้ ดังนั้น ภาคการท่องเที่ยวไทยจะได้รับผลกระทบตลอดปีนี้ แปลว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบตามไปด้วย
ส่วนคำตอบที่คุณ รอคอยนั่นก็คือ หากคุณสนใจลงทุนหุ้นไทย จากวิกฤติในครั้งนี้ก็ยังมีหุ้นให้ลงทุน เพียงแต่คุณเองต้อง “เลือก” ด้วยความระมัดระวังและใช้ปัจจัยพื้นฐานในการวิเคราะห์
ที่สำคัญคือคุณต้องเลือกลงทุนหุ้นกลุ่มที่มีความปลอดภัย (Defensive Stock) รวมถึงหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ (Dividend Stock)และยิ่งในช่วงที่ทุกอย่างไม่เป็นใจ ปัจจัยพื้นฐานและ Sentiment ไม่ดี ถ้าเป็นในเชิงกลยุทธ์การลงทุนต้อง “สะสมหุ้น” ซึ่งคุณควรซื้อตอนราคาหุ้นตกแต่หลักใหญ่คุณต้องเฟ้นหาหุ้นที่สามารถไปต่อได้
หากคุณเป็นผู้ลงทุนระยะยาวหรือผู้ลงทุนหุ้นคุณค่า วิธีที่ดีที่สุดในการลงทุน คือ การลงทุนแบบสม่ำเสมอในจำนวนเงินเท่าๆ กัน (DCA) “เมื่อราคาหุ้นปรับลดลงก็ให้ซื้อเก็บ ด้วยวิธี DCA” แต่ถ้าคุณเป็นผู้ลงทุนที่เล่นรอบ ในภาวะแบบนี้ ยังสามารถลงทุนได้ โดยถือว่าเป็นตลาด Sideway Down ก็จะใช้กลยุทธ์เมื่อราคาเด้งขึ้นแล้วขาย ราคาปรับลดลงก็ซื้อ หรือถอยรับทีละสเต็ป
แต่กลยุทธ์การลงทุนในภาวะแบบนี้ คุณต้องเพิ่มความระมัดระวังและพิถีพิถันในการเลือกหุ้น ถ้าเป็นคนลงทุนระยะยาวให้ถอยรับเป็นสเต็ป โดยเน้นหุ้น Defensive และหุ้นที่ธุรกิจมั่นคงที่ Valuation ไม่แพง ส่วนลงทุนระยะสั้นๆให้ซื้อเก็งกำไรจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว
ข่าวเด่น