ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพร้อมตลาดหุ้นทั่วโลกพร้อมใจกันสร้างเหตุการณ์แห่งประวัติศาสตร์ โดยมีการใช้ circuit breaker กันในหลายประเทศ โดยเฉพาะในบ้านเราใช้ติดต่อกัน 2 วัน
ดังนั้นจึงทำให้ทางการออกมาตรการป้องกันตลาดแบบอ่อนๆออกมา โดยให้ short sell ยากขึ้นอีกเล็กน้อย แต่รวมๆแล้วก็ช่วยได้ไม่มาก ตลาดหุ้นจึงมีการแกว่งตัวแคบๆ ต่อในช่วงบ่ายแบบซึมๆ ซึ่งตลาดหุ้นยังน่าจะแกว่งตัวยาวต่อเนื่องอีกหลายวัน
ดังนั้นวันนี้ (16 มี.ค.)หากดัชนีหุ้นไทยสามารถประคองตัวยืนแถวๆ 1,100 จุดไม่ได้ ดัชนียังน่าจะแกว่งตัวกลับลงไปแถวๆ 1,000 จุดอีกครั้ง หรืออาจหลุดลงไป test low แถวๆ 969 จุดได้ในระหว่างวัน ถ้าดัชนีไม่ทำ New low อีก อาจซื้อเล่นรีบาวด์สั้นๆได้ โดยมีแนวต้านแถวๆ 1,187 จุด หรือปิด GAP ที่ 1,281 จุด
ส่วนหุ้นที่น่าจับตามอง ในสัปดาห์นี้ ได้แก่ BAM ซึ่งมีแนวรับ 17.60 บาท และมีแนวต้าน 19.10 , 20.20 บาท
โดยระดับราคาการปรับตัวลงแรงต่อเนื่องทำ New low แต่ก็มีแรงซื้อกลับประคองตัวบางส่วน แม้ว่าระดับราคาจะถอยกลับลงมาปิดต่ำในช่วงท้ายตลาดก็ตาม หากวันนี้ระดับราคาไม่ถอยกลับลงมาทำ New low หรือหลุดต่ำกว่า 17.60 บาทต่อเนื่อง ระดับราคาจึงจะมีลุ้นดีดกลับขึ้นทำสอบแนวต้านระยะสั้นแถวๆ 19.10 และ 20.20 บาทได้ต่อไป
นอกจากนี้ยังมีหุ้น SPALI ซึ่งแนวรับ 14.10-13.80 บาท มีแนวต้าน 15.00-15.20 บาท โดยระดับราคาการปรับตัวลงแรงต่อเนื่องทำ New low แต่ก็มีแรงซื้อกลับประคองตัวขึ้นมาปิดได้ในระดับสูงของวัน โดยระดับราคาจะขยับออกไปเล่นนอกกรอบ BollingerBottom แบบเต็มตัวด้วย หากวันนี้ระดับราคาไม่ถอยกลับลงมาต่ำกว่า 14.10-13.80 บาทซะก่อน ระดับราคาจึงจะมีลุ้นดีดกลับขึ้นทำสอบแนวต้านระยะสั้นแถวๆ 15.00-15.20 บาทได้ต่อไป
ด้าน COM7 แนวรับ 19.10-19.00 บาท ซึ่งมีแนวต้าน 20.60-21.00 , 22.00 บาท โดยระดับราคามีการปรับตัวลงแรงโดยอ่อนตัวลงไปทำ New low เล็กน้อยในรอบ 3 สัปดาห์ ก่อนที่ระดับราคาจะดีดกลับขึ้นมาปิดได้ในระดับสูงของวัน โดยสามารถปิดในกรอบ BollingerBottom ได้ หากวันนี้ระดับราคาไม่ถอยกลับลงมาหรือปิดต่ำกว่าแนวรับระยะสั้นที่ 19.10-19.00 บาทซะก่อน ระดับราคาน่าจะได้ลุ้นปรับตัวขึ้นต่อแถวๆ 20.60-21.00 บาทและ 22.00 บาทต่อไป
ส่วนด้านตลาดทองคำ สัปดาห์ที่ผ่านเมื่อถึงเมื่อเวลา 8.00 น วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2563 โดยราคาทองคำล่าสุดอยู่ที่ 1,578.83 ดอลลาร์ต่อออนซ์จากเมื่อสัปดาห์ก่อนอยู่บริเวณ 1,673.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เท่ากับเปลี่ยนแปลงปรับลงถึง 94.47 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยลบมากจนล้างการปรับขึ้นของสัปดาห์ก่อนทั้งสัปดาห์ไปทันที โดยคาดว่านักลงทุนประเภทสถาบันอย่างเฮดจ์ฟันด์เริ่มจำเป็นต้องขายสินทรัพย์ปลอดภัย เพื่อนำไปบริหารความเสี่ยงจากผลขาดทุนของสินทรัพย์เสี่ยงที่ปรับลงแรงทั่วโลกจากผลกระทบการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 ที่รุนแรงมากขึ้น
ราคาทองคำโลกสัปดาห์ที่แล้วปรับขึ้นต่อเนื่องอยู่ โดยทำจุดต่ำสุดและสูงสุดไว้ที่ 1,560.69-1,702.47 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งช่วงต้นสัปดาห์ราคาทองคำปรับขึ้นต่อทันทีและพุ่งทะลุเหนือ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไปในบางช่วงของการซื้อขาย ได้รับข่าวดีจากข่าวการแพร่กระจายของไวรัสโควิด 19 ในยุโรปและในสหรัฐอเมริกา
ประกอบกับความขัดแย้งของผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกอย่างรัสเซียและซาอุที่ไม่สามารถตกลงเรื่องการลดกำลังการผลิตเพื่อพยุงราคาน้ำมันได้นั้น ทำให้ซาอุประกาศเดินหน้าผลิตน้ำมันอย่างไม่มีการจำกัด ส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกปรับลงกว่า 20%ในค่ำคืนเดียว ทำให้เกิดแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
แม้ทองคำจะเป็นที่พักเงินของนักลงทุนเวลาเกิดวิกฤตแต่การระบาดของไวรัสโควิด 19 ที่แพร่กระจายทั่วโลกทำให้องค์กรอนามัยโลกออกมาประกาศว่า ไวรัสดังกล่าวได้อยู่ในภาวะแพร่ระบาดทั่วโลกแล้ว โดยเฉพาะในยุโรปที่จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตมีอัตราเกิดขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลาสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ทำให้ตลอดสัปดาห์ที่ผานมา ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลงมากกว่า 20% ซึ่งผลขาดทุนมหาศาลจากสินทรัพย์เสี่ยงทำให้นักลงทุนสถาบันบางประเภทต้องเลือกที่จะขายสินทรัพย์อื่นๆออกมา เพื่อเติมหลักประกันในการลงทุนที่ใช้อัตราทด (Margin Call) และทองคำก็เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ถูกขายออกมา จนทำให้ราคาทองคำปรับร่วงหล่นลงมาต่ำกว่า $1,600 เหรียญอีกครั้ง
สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐสัปดาห์ที่ผ่านมากลับมาอ่อนค่าราว 0.495 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งล่าสุดอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอยู่ที่ 31.885 บาทต่อดอลลาร์ จากสัปดาห์ก่อนอยู่ที่ 31.390 บาทต่อดอลลาร์ โดยระหว่างสัปดาห์แกว่งตัวในกรอบ 31.350-31.890 ซึ่งยังได้รับผลกระทบจากประเทศไทยที่พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวนมากขึ้นก้าวกระโดดในสัปดาห์เดียว
ดังนั้นสำหรับนักลงทุนระยะสั้น หลังจากซื้อมาแถว 1,545-1,550 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยรอบที่ผ่านมา ราคาพุ่งไปถึงเป้าหมาย 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ที่เราให้ไว้เรียบร้อยแล้ว ใครที่ไม่ได้ขายที่เป้าหมายดังกล่าว ราคาร่วงต่ำกว่า 1,625 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็ควรได้ขายไปแล้วตามคำแนะนำอยู่ดี การปรับลงมารอบนี้ถือเป็นโอกาสซื้อคืน กรอบสะสมทองคำคืนอยู่บริเวณ 1,525-1,555 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป้าหมายรอบหน้าอยู่บริเวณ 1,625 ดอลลาร์ต่อออนซ์ขึ้นไปและยังมีโอกาสกลับไปเหนือ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้ง
สำหรับนักลงทุนระยะยาว ยังแนะนำถือทองคำต่อไป เป้าหมายปีนี้อยู่บริเวณ 1,650-1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ที่เคยให้ไว้เมื่อปลายปีที่ผ่านมานั้นถึงแล้ว แต่ยังมีโอกาสพุ่งสูงกว่าเป้าหมายอื่นถัดไปเช่นกัน โดยเป้าหมายถัดไปจะอยู่ 1,730 และ 1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามลำดับ ไม่ใช่เพียงไวรัสโควิด-19 เท่านั้นที่จะหนุนราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยแต่ความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลกในปีนี้มีโอกาสที่จะส่งผลกระทบต่อการผิดนัดชำระหนี้ของบรรดาหุ้นกู้ทั่วโลก ซึ่งอาจทำให้เงินทุนจำเป็นต้องไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง
ข่าวเด่น