สำหรับการประชุมโอเปกได้เสร็จสิ้นลงแล้วเมื่อวานนี้ (9เม.ย.)สรุปผลการประชุม ปรากฎว่าทุกฝ่ายจะร่วมมือกันลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบลงหลังความต้องการใช้น้ำมันลดลงจากผลกระทบของ COVID-19
โดยการลดกำลังผลิตน้ำมันครั้งนี้ จะทำเป็นขั้นบันได แบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงที่ 1.จะลดกำลังการผลิต 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็นเวลา 2 เดือนคือช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย.2563 ส่วนช่วงที่ 2 นั้นจะลดกำลังการผลิต 8 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็นเวลา 4 เดือน คือช่วงเดือนก.ค.-ธ.ค.2563 และช่วงที่ 3จะลดกำลังการผลิตลง 6 ล้านบาร์เรล เป็นเวลา 4 เดือน คือช่วงเดือนม.ค.-เม.ย.2564
จากแผนการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดังกล่าว ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส หรือ ASPS มองว่าจะช่วยจำกัด Downside ของราคาน้ำมันดิบจากนี้ไปและมองเป็นประเด็นบวกสำหรับหุ้น PTTEP ก็จริง แต่ PTTEP ยังมีความเสี่ยงจากการต้องทดสอบการด้อยค่าของสินทรัพย์ในทุกโครงการตามมุมมองราคาน้ำมันมันระยะยาวที่เปลี่ยนแปลงไปตามมาตรฐานบัญชี ซึ่งยังไม่รวมไว้ในประมาณการ
สำหรับไตรมาส 1 ปี 2563 นั้น ฝ่ายวิจัยฯคาดว่า PTTEPจะมีกำไรสุทธิ 6.9 พันล้านบาท ลดลง 40% qoq ผลจากกำไรปกติที่ลดลงและมีรายการพิเศษที่เป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น โดยคาดกำไรปกติจะลดลง 25.7% มาที่ราว 8.5 พันล้านบาท กดดันจากราคาขายและปริมาณขายที่ลดลง
ฝ่ายวิจัยฯได้ปรับลดประมาณการกำไรของ PTTEP ในปี 2563-2564 เพื่อสะท้อนการปรับลดประมาณการปริมาณขายปิโตรเลียม ภายใต้ประมาณการใหม่ คาดว่ากำไรดำเนินงานของ PTTEP ในปีนี้และปีหน้า จะลดลงมาที่ 2.7 หมื่นล้านบาท และ 3.2 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ
ภายใต้ประมาณการใหม่ ฝ่ายวิจัยฯประเมินมูลค่าพื้นฐานระยะยาว สิ้นปี 2563 หุ้นละ 100 บาท จากเดิม110 บาท แต่ราคาหุ้น PTTEP ปรับขึ้นมาแรงกว่า 15% ภายในเวลาเพียง 1 สัปดาห์ จึงมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับฐาน จึงแนะนำให้หาจังหวะทยอยสะสม เพื่อการลงทุนระยะยาว เมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวจะปลอดภัยกว่า
ข่าวเด่น