ถ้าย้อนกลับไปในอดีต หากตลาดหุ้นปรับลดลงอย่างต่อเนื่องกลายเป็นภาวะตลาดหมี (Bear Market) อาการแบบนี้คุณอาจขายหุ้นไม่ทันแล้วคุณก็ได้แต่นั่งรอว่า เมื่อไหร่หุ้นจะฟื้นตัวให้ได้ลดพอร์ตการลงทุน ส่วนคนที่ขายทันก็ต้องนั่งรอว่าเมื่อไหร่จะลงมาถึงระดับที่น่าสนใจและกลับเข้าไปลงทุนอีกครั้ง ถ้าตลาดไม่ย่อลงก็อาจพลาดโอกาสการลงทุนครั้งใหม่
มิสเตอร์ตลาดหลักทรัพย์และคุณณัฐพล คำถาเครือ มองว่าการลงทุนในยุคปัจจุบัน คุณสามารถสร้างผลตอบแทนได้ทั้งช่วงตลาดขาขึ้นและขาลง จึงเป็นการดีที่คุณจะทำความเข้าใจกลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงหรือทำกำไรในช่วงตลาดขาลง เพื่อไม่ให้พลาดในทุกโอกาส ที่สำคัญเป็นการยกระดับพอร์ตการลงทุนให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอีกด้วย
ดังนั้นวันนี้ ลองมาศึกษา 5 รูปแบบในการบริหารความเสี่ยงและเก็งกำไร ช่วงตลาดขาลง
รูปแบบที่ 1 คือการใช้อนุพันธ์ทั้งการ Short Futures และการ Long Put Options เพื่อถัวความเสี่ยงตลาดขาลง เช่น คุณลงทุนกองทุนรวมหุ้นที่มีนโยบายลงทุนในดัชนี SET50 และประเมินว่าดัชนี SET50 จะปรับตัวลดลง ก็สามารถ Short SET50 Index Futures ในรุ่นที่ได้รับความนิยม (Active) ช่วงเวลานั้นๆ ได้ โดย 1 สัญญาจะมีมูลค่าประมาณ 150,000 บาท (750 จุด จุดละ 200 บาท) เช่น ถือกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนหุ้นในดัชนี SET50 อยู่ 900,000 บาท ก็ให้ Short SET50 Index Futures จำนวน 6 สัญญา เป็นต้น
รูปแบบที่ 2 คือ การใช้อนุพันธ์ทั้งการ Short Futures และการ Long Put Options เพื่อเก็งกำไรตลาดขาลง เช่น นักลงทุนคาดว่าดัชนีหุ้นไทย และดัชนี SET50 จะปรับตัวลดลง จึงทำการ Short SET50 Index Futures รุ่นที่ Active สมมติว่าเป็น S50M20 ที่ราคา 750 จุด ถ้าดัชนี SET50 ปรับลดลงจริงตามคาด S50M20 ย่อมปรับตัวลงตาม เพราะราคา Futures จะเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับราคาสินค้าอ้างอิง ในกรณีนี้ สมมติว่าปรับตัวลง 5 จุด สำหรับการลงทุนใน Futures การเปลี่ยนแปลง 1 จุด เท่ากับ 200 บาท นักลงทุนที่ Short ไว้จะได้กำไร 1,000 บาท ต่อ 1 สัญญา (ก่อนหักค่า Commission) แต่ถ้าผิดทาง คือ SET50 Index Futures ปรับตัวขึ้น นักลงทุนจะขาดทุน เท่ากับจำนวนจุดที่ขาดทุนคูณด้วย 200 บาท
รูปแบบที่ 3 คือ การใช้อนุพันธ์โดยการ Short Single Stock Futures ทั้งกรณีถัวความเสี่ยงให้กับหุ้นที่ถืออยู่ (ถ้ามี Single Stock Futures อ้างอิงหุ้นที่ถืออยู่พอดี) หรือใช้เก็งกำไรช่วงตลาดเป็นขาลง ถ้าคิดว่าราคาหุ้นอ้างอิงนั้นจะพักตัวชั่วคราว โดยในกรณีที่สภาพคล่องของการซื้อขายต่ำ นักลงทุนสามารถติดต่อไปยังโบรกเกอร์ และใช้บริการ Block Trade เพื่อเป็นคู่สัญญาให้โดยตรง แต่ราคาที่ได้อาจไม่ตรงกับราคาในกระดานซื้อขาย และต้นทุนในการทำธุรกรรมจะสูงขึ้น เพราะจะมีการนำดอกเบี้ยและภาษี (VAT 7%) เข้าไปคำนวณด้วย"
รูปแบบที่ 4 คือ การ Short Sales ผ่านธุรกรรม SBL เป็นการยืมหุ้นจากโบรกเกอร์มาขายในตลาดก่อน แล้วค่อยซื้อคืนกลับมาเมื่อมีกำไร แม้ว่าวิธีนี้จะช่วยให้นักลงทุนทำกำไรช่วงตลาดขาลงได้ แต่ต้องระมัดระวังในหลายประเด็น เช่น การ Short Sales ต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ Short Sales ได้ที่ราคาล่าสุดบวกเพิ่มไปอีก 1 ช่องราคา และถ้าหุ้นที่ยืมไปมีการจ่ายปันผล ผู้ยืมจะถูกเรียกคืนหุ้นกลับมาให้เจ้าของตัวจริงถือไว้เพื่อรับปันผล อีกทั้งอะไรที่ขึ้นชื่อว่ายืมก็จะมีดอกเบี้ยค่ายืมติดมาด้วยโดยคิดดอกเบี้ยเป็นรายวันและถ้ายังซื้อหุ้นกลับมาคืนไม่ได้ ต้นทุนดอกเบี้ยก็จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ดังนั้นหากไม่มั่นใจว่าหุ้นที่ยืมมา ราคาจะปรับลดลง ก็ไม่ควรใช้ธุรกรรมนี้เพื่อการลงทุน
รูปแบบที่ 5 คือ การ Short Against Port (SAP) เป็นการขายหุ้นที่ถืออยู่ออกไปก่อน แล้วซื้อหุ้นตัวเดิมกลับมาในราคาที่ถูกลง เปรียบเสมือนเป็นการเปลี่ยนต้นทุน เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรช่วงที่ราคาหุ้นกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง เช่น ถ้ามีต้นทุนอยู่ 150 บาท ตอนนี้ราคาลงมาเหลือ 130 บาท (ขาดทุน 20 บาท) ถ้าประเมินว่าราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ 100 บาท อาจขายที่ราคา 130 บาทไปก่อน แล้วกลับไปซื้อใหม่ที่ราคา 100 บาท หากราคาหุ้นไม่ปรับตัวลงต่อและกลับมาฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง เช่น ราคากลับขึ้นมาที่ 130 บาท ก็จะได้กำไรจากการลงทุนรอบใหม่ 30 บาท และเมื่อหักกับขาดทุนรอบแรก (20 บาท) จะได้กำไรสุทธิ 10 บาท (ไม่รวมค่า Commission)
ทั้งนี้ ทุกรูปแบบการลงทุนไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง ย่อมมีความเสี่ยง แม้ว่าในช่วงตลาดเป็นขาลง หุ้นแต่ละตัวมีโอกาสเกิดความผันผวนต่อวันค่อนข้างแรง แต่ถ้าพิจารณาในแง่ของระยะเวลา คุณจะพบว่าช่วงเวลาที่หุ้นเป็นขาขึ้นจะยาวนานกว่าช่วงเวลาที่ปรับลดลง เพราะฉะนั้นโดยธรรมชาติการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ ไม่ได้เอื้อให้ลงทุนในฝั่งขาลงมากนัก การเก็งกำไรหรือป้องกันความเสี่ยงจึงควรทำเพียงช่วงเวลาสั้นๆ หรือถ้าเป็นไปได้ นักลงทุนควรมองเป็นการบริหารความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุน มากกว่าที่จะมองว่าเป็นเครื่องมือในการเก็งกำไร
ข่าวเด่น