สถานการณ์ COVID-19 ในหลายประเทศดูผ่อนคลายหนุนตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวกลับจากช่วงเดือน มี.ค.2563 ได้เร็วซึ่งหากพิจารณาจากดัชนี MSCI ACWI Index พบว่าปรับขึ้นมาจากจุดต่ำสุดเดือน มี.ค.2563 27% หรือคิดเป็นสัดส่วน 50% ของหากวัดจากรอบ จุดสูงสุด-จุดต่ำสุดระหว่างช่วง ก.พ.- มี.ค. 2563 ขณะที่บ้านเรามีพัฒนาการเชิงบวกเช่นกันจากจำนวนผู้ติดเชื้อเฉลี่ยในรอบ 7 วันที่ผ่านมาที่เพิ่มขึ้นวันละ 18 ราย หนุน SET Index ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 13 มี.ค.2563 มากถึง 31.6% หรือคิดเป็นระดับ 50% ของรอบการปรับฐาน
ระยะถัดไปหากจำนวนผู้ติดเชื้อมีพัฒนาการที่ดีขึ้น Momentum ที่น่าจะหนุน SET Index ปรับขึ้นต่อเป็นไปได้ แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือน Upside จะยังจำกัด เพราะหากเทียบเคียงกับประเทศเกาหลีใต้ ที่ควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพสะท้อนจากจำนวนผู้ติดเฉลี่ยในรอบ 7 วันที่ผ่านมาที่เพิ่มขึ้นวันละ 10 รายเท่านั้น หนุนดัชนี KOSPI Index ที่ฟื้นตัวได้ในระดับ 61.8% ของรอบและเริ่มเห็นการพักตัวลงมา ขณะที่สิ่งที่ต้องจับตาในระยะถัดไปคือจำนวนผู้ติดเชื้อในบ้านเราว่าจะคุมได้ดีต่อเนื่องหรือไม่หลังจากเตรียมการคลาย Lockdown ธุรกิจ เพราะหากจำนวนกลับมาเพิ่มขึ้น (หรือเกิด Second Wave) มีความเสี่ยงที่ตลาดหุ้นจะกลับมาปรับฐานเหมือนดัชนี Strait Times ของสิงคโปร์ที่หลังจากฟื้นตัวมา 50% ของรอบการฟื้นตัวก็ถูกแรงขายลดความเสี่ยงออกมาทันทีในช่วงกลางเดือน เม.ย.63
การ Upside ของตลาดหุ้น เริ่มแคบลงไปทุกที ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนแนะนำแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ หุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ราคา Laggard กลุ่มฯ และยังมี Upside สูง และหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตสวนทางภาพรวมของตลาด
สำหรับหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ราคา Laggard กลุ่มฯและยังมี Upside สูง แนะนำ ได้แก่ หุ้น EA ราคาหุ้นเริ่มฟื้นตัวได้ดีในช่วงที่ผ่านมา แต่ยัง Laggard กลุ่มอยู่มากและยังมี Momentum เดินหน้าต่อจาก ทิศทางกำไรปกติ 1Q63 คาดเติบโตได้ดีทั้ง yoy และ qoq จากโรงไฟฟ้าโซลาร์ที่จะผลิตไฟได้มากขึ้น เพราะเข้าสู่ช่วง high season และได้รับผลบวกจากภัยแล้งซึ่งคาดจะทำให้ความเข้มแสงมากกว่าปกติ รวมถึงยังรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าลมหนุมาน 260 MWe เต็มปี (เริ่มผลิตเต็มที่ตั้งแต่ช้วง 2Q62 เป็นต้นมา) หนุนภาพทั้งปี 2563 คาดกำไรปกติเติบโต 8.9%yoy มาอยู่ที่ 6.4 พันล้านบาท ทำ New High อีกครั้ง
หุ้น KBANK ราคาปรับฐานลงมากว่า 44%ytd (SET Index ลดลง 20%ytd) แสดงให้เห็นว่าราคาหุ้นน่าจะสะท้อนผลประกอบการที่ไม่ค่อยดีในช่วง 1Q63 มาในระดับหนึ่งแล้ว จนมี Valuation ที่เริ่มกลับมาน่าสนใจ คือ มี PBV ต่ำเพียง 0.5 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งที่ 0.8 เท่า) และน่าจะลุ้น Rebound ช่วงสั้นได้
ส่วนหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรเติบโต สวนทางภาพรวมของตลาด คือ STA ซึ่งเป็นหุ้นที่มีปัจจัยบวกรอบด้าน หนุนกำไรกลับมา Turnaround ในปีนี้ เริ่มจากธุรกิจถุงมือยาง 20% ของรายได้รวม ได้แรงหนุนจากความต้องการใช้ถุงมือที่มีแนวโน้มสูงขึ้นตลลอดทั้งปี หลังผู้คนเริ่มตระหนักและให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคต่างๆมากขึ้น
อีกทั้งธุรกิจยางพารา (80% ของรายได้รวม) ฟื้นตัวเช่นกัน จากการที่โรงงานแปรรูปยางในไทยหลายแห่งหยุดดำเนินการผลิตชั่วคราว ทำให้ลูกค้าหันมาซื้อยางจาก STA เพิ่มขึ้น และ STA ก็ได้ประโยชน์จากทิศทางค่าเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่อง หนุนประสิทธิภาพการทำกำไรดีขึ้น
ข่าวเด่น