บล.ทิสโก้เปิด 3 กรณี COVID-19 ระบาด ชี้แม้ผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ก็ยังมีโอกาสสูงที่จะควบคุมการแพร่ระบาดต่อได้ในวงจำกัด คาดหุ้นไทยแกว่งในกรอบ 1,230 - 1,300 จุด แนะจับตานักวิเคราะห์หั่นประมาณการกำไร บจ. ไทย ลงอีกรับผลกระทบไวรัส - ปิดเมือง ชี้ช่วงนี้เป็นจังหวะซื้อเพื่อเทรดรอบสั้นๆ
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Mr. Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co., Ltd) เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลไทยประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในช่วงปลายเดือน มี.ค. เป็นต้นมา สถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ในประเทศก็ปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ เห็นชัดเจนจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ปรับลดลงมาอยู่ที่เฉลี่ย 66 คนต่อวันในช่วงครึ่งแรกของเดือน เม.ย. และลดลงต่อเนื่องเฉลี่ยเป็น 21 คนต่อวันในครึ่งหลังของเดือน เม.ย. จากระดับ 96 คนต่อวันในช่วงครึ่งหลังของเดือน มี.ค.
ส่วนอัตราผู้ติดเชื้อที่รักษาหายเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดสูงถึง 91% ขณะที่ทั่วโลกอยู่ที่ 31% ด้านอัตราผู้เสียชีวิตเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดอยู่ที่ 1.8% น้อยกว่าทั่วโลกที่มีอัตราการเสียชีวิตที่ 7.1% สะท้อนประสิทธิภาพการควบคุมโรคของไทยอยู่ในระดับสูงมาก ทำให้ไทยเริ่มผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์อย่างระมัดระวัง พร้อมประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ต่อไปอีก 1 เดือน หรือวันที่ 1 - 31 พ.ค.
ด้านตลาดหุ้นไทยได้ซึมซับข่าวดีเรื่องการทยอยผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ไประดับหนึ่ง โดยฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนเม.ย. ซึ่งการเคลื่อนไหวของหุ้นไทยหลังจากนี้จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์แพร่ระบาดภายหลังการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ โดย บล.ทิสโก้ได้แบ่งกรณีการแพร่ระบาดที่จะเกิดขึ้นเป็น 3 กรณี ได้แก่ กรณีที่ 1 การระบาดอยู่ในวงจำกัด (โอกาสเกิดขึ้น 60%)
โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 40 - 70 รายต่อวัน แม้จำนวนผู้ติดเชื้ออาจเพิ่มขึ้นแต่ระบบสาธารณสุขยังพอรับไหว และไม่น่าจะเป็นสิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายของตลาดมากนัก หากเป็นเช่นนี้ดัชนีหุ้นไทยจะแกว่งในกรอบ 1,230 - 1,300 จุด โดยจะเหวี่ยงขึ้น-ลงไปตามสถานการณ์แพร่ระบาดระลอกสอง, ตัวเลขเศรษฐกิจ และการประกาศผลประกอบการ
กรณีที่ 2 สถานการณ์แพร่ระบาดยังควบคุมได้ดี (โอกาสเกิดขึ้น 30%) มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 15 - 30 รายต่อวัน นำไปสู่การทยอยเปิดธุรกิจอื่นๆ ตามมาอย่างราบรื่นตลอดช่วง 2 เดือนข้างหน้า จะเป็นผลดีต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีหลัง คาดดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสแกว่งซิกแซกขึ้นทดสอบระดับ 1,300 - 1,360 จุด แต่การปรับขึ้นครั้งนี้จะไม่ยั่งยืนเพราะราคาหุ้นเริ่มสูงและตึงตัวมากเมื่อเทียบกับกำไร
กรณีที่ 3 เกิดการะบาดซ้ำ (โอกาสเกิดขึ้น 10%) โดยมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 100 รายต่อวันอาจนำไปสู่การสั่งปิดธุรกิจอีกครั้ง และมีแนวโน้มที่จะต่ออายุการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไปอีก 1 เดือน คาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลงทดสอบระดับ 1,200 จุด หรือต่ำกว่า อย่างไรก็ดี บล.ทิสโก้มองว่ากรณีที่ 3 มีโอกาสเกิดน้อย ตราบใดที่รัฐบาลยังมีการควบคุมการเดินทางจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักร
นายอภิชาติ กล่าวอีกว่า สำหรับการลงทุนในเดือน พ.ค.นั้น ต้องระวังความผันผวนเมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งของเดือนเนื่องจากนักวิเคราะห์น่าจะเริ่มปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2563 ลงอีก หลังจากรับทราบผลประกอบการไตรมาสที่ 1/2563 ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ได้สะท้อนผลกระทบเต็มที่จาก COVID-19 และการปิดเมือง จึงคาดว่าผลกระทบหนักที่สุดน่าจะเกิดขึ้นกับผลประกอบการไตรมาสที่ 2 อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันนักวิเคราะห์ได้ปรับประมาณการกำไรของตลาดปี 2563 ไปแล้ว 27.4% มาอยู่ที่ 74.0 บาทต่อหุ้น และปี 2564 ถูกปรับลงไป 19.4% มาอยู่ที่ 89.1 บาทต่อหุ้น (เฉพาะเดือน เม.ย. ประมาณการกำไรของตลาดปีนี้และปีหน้าถูกปรับลง 9.7% และ 6.9% ตามลำดับ)
“การประเมินมูลค่าหุ้นเข้าสู่ภาวะตึงตัวมากขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ดัชนีหุ้นไทยซื้อขายที่อัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า 12 เดือน (12m Fwd. PER) ที่ 16.0 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 16.6 เท่า ซึ่งมองว่าการซื้อขายที่เข้าใกล้ระดับค่าเฉลี่ยในอดีตอาจสูงเกินไปเมื่อเทียบกับภาพรวมเศรษฐกิจที่หดตัวรุนแรง และสถานการณ์แพร่ระบาดในปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนสูง จากการประเมินของ บล.ทิสโก้นั้นประมาณการกำไรของตลาดที่ถูกปรับลงทุกๆ 1% จะมีผลต่อการปรับลดลงของดัชนีหุ้นไทยประมาณ 13 จุด ประกอบกับช่วงเวลาดังกล่าวนักลงทุนน่าจะกลับมาติดตามสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 อีกครั้ง หลังผ่านการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ไปแล้ว 2 สัปดาห์” นายอภิชาติกล่าว
ดังนั้น บล.ทิสโก้ ยังคงมีมุมมองว่าดัชนีหุ้นไทยในระดับปัจจุบันเริ่มมีกรอบในการปรับขึ้น (Upside) จำกัด และในช่วงนี้ไม่ใช่จังหวะซื้อเพื่อการลงทุน แต่เป็นการซื้อเพื่อการเทรดดิ้งรอบสั้นๆ
สำหรับประเด็นหุ้นที่น่าสนใจสำหรับการเลือกลงทุนเดือนนี้ คือ 1. หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ แม้ราคาหุ้นโดยรวมฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้วในเดือนที่ผ่านมา แต่ยังคงมีโอกาสปรับขึ้นอยู่ แนะนำ BEM, CPALL, CPN และ HMPRO
2. หุ้นที่คาดว่างบจะออกมาดี แนะนำ RBF และ SMPC 3. หุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตแม้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แนะนำ BAM เพราะฉะนั้น
หุ้นเด่นที่บล.ทิสโก้แนะนำในเดือน พ.ค. คือ BAM, BEM, CPALL, CPN, HMPRO, RBF และ SMPC ด้านแนวรับสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,270 จุด และมีแนวรับถัดไปที่ 1,255 และ 1,230 จุด ตามลำดับ ขณะที่แนวต้านสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,320 - 1,330 จุด และมีแนวต้านถัดไปที่ 1,350 - 1,360 จุด ตามลำดับ
ข่าวเด่น