สำหรับความคาดหวังการกลับมาเปิดเมือง รวมถึงสภาพคล่องส่วนเกินที่อัดฉีดเข้ามาในระบบ ทั้งจากการเพิ่มวงเงิน QE ในหลายประเทศ รวมถึงการลดดอกเบี้ยของหลายประเทศจนต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
เช่นเดียวกับไทยที่วานนี้ (20 พ.ค.) ลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% เหลือ 0.5% หนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาแรง และทำจุดสูงสุดในรอบ 2 เดือน อยู่ที่ 1,322.2 จุด
ดังนั้น ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส มองว่า ตลาดหุ้นมีโอกาสย่อตัวลงได้จากหลายปัจจัย ได้แก่ ประเด็นผู้ติดเชื้อ COVID-19 ทั่วโลกเร่งตัวขึ้นมาถึง 1 แสนกว่ารายต่อวัน (สูงสุดเป็นประวัติการณ์)
นอกจากนี้ ปัจจัยความเสี่ยงจากสงครามทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ที่เริ่มมีการจุดประเด็นกลับขึ้นมาบ้างในบางเวลา
รวมถึงปัจจัยที่สำคัญ คือ Valuation ตลาดหุ้นไทยถือว่าอยุ่ในระดับที่แพงมาก PER63F อยู่ที่ 20.4 เท่า เมื่อเทียบกับระดับที่เหมาะสม ภายใต้ Market Earning Yield Gap ที่ 5% และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอญุ่ที่ 0.5% (เท่าดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบัน) จะทำให้ค่า PER เป้าหมายอยู่ที่ 18.1 - 18.2 เท่า ซึ่งจะเห็นได้ว่า SET Index ณ ปัจจุบัน ซื้อขายกันบน PER ที่สูงกว่าค่า PER เป้าหมายใหม่กรณีปรับลดอัตราดอกเบี้ย แสดงว่า SET Index ยังคงขยับขึ้นด้วยความเปราะบาง
หากเจาะลึกเข้าไปในหุ้นรายตัวที่ฝ่ายวิจัย Coverage ทั้งหมด 170 บริษัท พบว่า เหลือหุ้นที่แนะนำซื้อเพียง 51% เท่านั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับน้อยมากเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ อีกทั้งยังมีหุ้นราคาเกินกว่ามูลค่าพื้นฐาน 29%
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้จำเป็นต้องพิถีพิถันในการเลือกหุ้น เน้นหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งผันผวนต่ำ หรือ ปันผลสูง โดยฝ่ายวิจัยคัดกรองมีหุ้นที่น่าสนใจ
หุ้น Defensive BCH SCC BDMS CPALL ADVANC หุ้นปันผลสูง DIF LH PTT TTW
ข่าวเด่น