เปิดให้บริการไปเรียบร้อยสำหรับโครงการ “สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ” ของบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด หลังทุ่มงบกว่า 4,000 ล้านบาท ก่อสร้างโครงการบนพื้นที่ประมาณ 50 ไร่ จากทั้งหมดประมาณ 150 ไร่ เพื่อเป็นแหล่งนัดพบและแหล่งช้อปปิ้งใหม่ของคนกรุงเทพฯและจังหวัดใกล้เคียง

หลังจากเปิดให้บริการไปเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา สยามพิวรรธน์ มั่นใจว่าน่าจะได้รับผลการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เนื่องจาก สยามพิวรรธน์ มีพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง “ไซม่อน พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป (Simon Property Group)” บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกอันดับหนึ่งของโลก จากสหรัฐอเมริกามาร่วมเป็นพันธมิตร เพื่อนำประสบการณ์พรีเมี่ยมเอาท์เล็ตอย่างแท้จริงมาสู่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก ซึ่งทุกเอาท์เล็ตที่กลุ่มไซม่อน ได้ก้าวเข้าไปทำธุรกิจ ไม่ว่าจะในอเมริกาเอง หรือนอกประเทศอย่างญี่ปุ่นที่มีจำนวนสาขาเอาท์เลทมากถึง 10 สาขา เกาหลี 5 สาขา และมาเลเซีย 1 สาขา ล้วนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยเฉพาะที่ Woodbury Common Premium Outlets นิวยอร์ค, Gotemba Premium Outlets ญี่ปุ่น, Yeoju Premium Outlets เกาหลีใต้ และ Johor Premium Outlets มาเลเซีย
สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักที่โครงการ “สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ” จะมุ่งเข้าไปทำตลาดในช่วงเวลานี้จะเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าคนไทยเป็นหลักคิดเป็นอัตราส่วนประมาณ 80% ที่เหลืออีก 20% เป็นกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ปรับเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย เพราะจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโรคโควิด -19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกรวมไปถึงประเทศไทย ส่งผลให้ขณะนี้ประเทศไทยยังคงปิดน่านฟ้าการเดิมทางข้ามประเทศ จึงทำให้ สยามพิวรรธน์ ต้องปรับกลยุทธ์การทำตลาดของโครงการ “สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ” ใหม่ จากเดิมจะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติสูงถึง 65-70% ที่เหลืออีก 35-40% เป็นคนไทย
จากแผนการดำเนินงานดังกล่าวทำให้ สยามพิวรรธน์ ต้องปรับกลยุทธ์การทำตลาดให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายชาวไทยไม่ว่าจะเป็นสินค้า หรือบริการ ขณะเดียวกันก็จะเน้นไปที่การเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่สามารถเติมความสุข และความต้องการของไลฟ์สไตล์หลากหลายได้ในทุกๆ วัน เป็นศูนย์รวมของการพบปะสังสรรค์ ผ่อนคลายและการทำกิจกรรมร่วมกันของครอบครัวและเพื่อนฝูง ท่ามกลางบรรยากาศเอาท์ดอร์ ที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียว สดชื่นด้วยองค์ประกอบของน้ำพุและน้ำตก
นอกจากนี้ ยังมีโซนให้เด็กๆ ได้เล่นสนุกเพื่อเสริมสร้างจินตนาการทั้งสไตล์อินดอร์และเอาท์ดอร์ โซนแอมฟิเธียเตอร์เล่นระดับในบรรยากาศผ่อนคลายชวนให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ รวมถึงเติมแต่งบรรยากาศด้วยศิลปะไทยในอารมณ์ร่วมสมัย ให้ศิลปะเป็นสิ่งที่สามารถชื่นชมได้ในทุกๆ วัน กับผลงาน ในธีม ‘Eco Jungle’ ฝีมือศิลปินไทย รุ่นใหม่ระดับแนวหน้า เช่น ผลงานศิลปะจากไม้ไผ่อันเป็นเอกลักษณ์ ฝีมือของกรกต อารมย์ดี, งานประติมากรรมโลหะรีไซเคิลที่ได้รับแรงบันดาลใจจากดอกไม้ไท- วิชชุลดา ปัณฑรานุวงศ์
ในด้านของสิ่งอำนวยความสะดวก สยามพิวรรธน์ ก็เตรียมพร้อมไว้อย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นที่จอดรถที่สามารถรองรับได้กว่า 1,500 คัน, บริการไว-ไฟฟรี, ห้องรับรองสมาชิกและนักท่องเที่ยวในบรรยากาศหรูหรา, ห้องรับรองสมาชิกทุกคนในครอบครัว, ห้องสำหรับแม่และเด็ก, ห้องรอรับบริการ รถ Shuttle Bus โดยสารฟรี, บริการรถเข็นเด็ก หรือบริการรถเข็นสำหรับผู้พิการหรือผู้สูงอายุฟรี เป็นต้น
นายไมเคิล ถัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามพิวรรธน์ ไซม่อน จำกัด ผู้บริหารโครงการสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ กล่าวว่า ขณะนี้มีร้านค้าที่พร้อมเปิดให้บริการแล้วประมาณ 65% คาดว่าสิ้นเดือนมิ.ย.จะมีร้านค้าเปิดให้บริการเพิ่มเป็น 70% และครบ 80% ในสิ้นปี 2563 ซึ่งในส่วนของแบรนด์สินค้าที่จะนำมาเปิดให้บริการจะแบ่งเป็น แบรนด์ลักซ์ชัวรี่ 10% อาหาร 10% และแบรนด์โลคอล 80%
ทั้งนี้ เพื่อดึงความสนใจกลุ่มลูกค้าคนไทยให้เข้ามาใช้บริการภายในโครงการ “สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ” ทาง สยามพิวรรธน์ ก็ได้มีการจัดโปรโมชั่นพิเศษให้กับลูกค้าใน 3 วันแรกที่เปิดให้บริการ คือ วันที่ 19-21 มิ.ย. 2563 ด้วยการมอบส่วนลดเพิ่มให้กับลูกค้าเพิ่มอีก 10-15% จากเดิมลดอยู่แล้วกว่า 70% เพื่อมอบความคุ้มค่าให้กับลูกค้า
นายไมเคิล กล่าวอีกว่า การที่บริษัทเลือกทำเลใกล้กับถนนมอเตอร์เวย์ในการสร้างโครงการ “สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ” เพราะบริษัทจะได้ทำการประชาสัมพันธ์และสร้างแบรนด์โครงการให้เป็นที่รู้จักได้ง่ายขึ้น เพราะถนนมอเตอร์เวย์มีผู้คนสัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งหลังจากเปิดให้บริการคาดว่าจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการต่อวันไม่ต่ำกว่า 10,000 คนอย่างแน่นอน
ด้าน นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า การที่บริษัทเลือกเปิดตัวโครงการ “สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ” ในตอนนี้ เพราะมองว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้ว จากเดิมมีแผนที่จะเปิดในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา แต่เกิดปัญหาโรคโควิด-19 เสียก่อน จึงทำให้ต้องเลื่อนเปิดมาเป็นเดือนมิ.ย. แม้ว่าช่วงนี้ประเทศไทยยังคงต้องใช้ชีวิตตามมาตรการ Social Distancing แต่บริษัทก็มีความมั่นใจในประเทศไทย และมั่นใจในภาพรวมเศรษฐกิจของไทยว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น
อย่างไรก็ดี หากภาครัฐมีมาตรการเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการในภาคธุรกิจค้าปลีก ด้วยการออกมาตรการต่างๆ มากระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นการช้อปปิ้งอย่าง ไทยแลนด์แกรนด์เซลล์ หรือมาตรการ “ช้อปช่วยชาติ” ซึ่งถ้าหากมีการขยายเวลาการช้อปปิ้งเป็น 3 เดือนหรือ 6 เดือนก็น่าจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคชาวไทยได้เป็นอย่างดี
ด้วยทำเล และแบรนด์สินค้าที่ “สยามพิวรรธน์” และ “ไซม่อน” เลือกนำมาลงในโครงการ “สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ” น่าจะช่วยกระตุ้นต่อมขาช้อปที่ขณะนี้ไม่สามารถบินออกไปช้อปนอกประเทศได้พอสมควร เพราะแต่ละแบรนด์ที่เอาเข้ามาไม่ว่าจะเป็น Burberry, Balenciaga, Bally, Breitling, CK, Furla, Hugo Boss และ Montblanc ก็ถือว่าเป็นแบรนด์ที่หาช้อปได้ยากในประเทศไทย
ข่าวเด่น