ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการ SMEs เผชิญกับปัญหาการขาดสภาพคล่องที่ทวีความรุนแรงขึ้นซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการถูกยืดระยะเวลาการชำระสินเชื่อการค้า (Credit term) โดยเฉพาะจากคู่ค้าที่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีอำนาจ
การต่อรองที่เหนือกว่า
ภาคธุรกิจของประเทศไทยส่วนใหญ่ทำการค้าขายโดยให้สินเชื่อการค้า สอดคล้องกับผลสำรวจทัศนะของผู้ประกอบการ SMEs โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่พบว่าร้อยละ 96 ของการทำธุรกิจของไทยในรูปแบบ B2B
มีการให้สินเชื่อแก่คู่ค้าที่ซื้อ-ขายสินค้าและบริการร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ในปี 2563 ระยะเวลา Credit term ที่ SMEs ได้รับจากคู่ค้าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวมาอยู่ที่ 60 วันโดยเฉลี่ย และในบางธุรกิจขยายไปสูงถึง 120 วัน นอกจากนี้ SMEs
ที่ทำธุรกิจหรือเป็นคู่ค้า (Supplier) ให้กับธุรกิจขนาดใหญ่มีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงิน เนื่องจากมักจะถูกขยายระยะเวลา Credit term ให้ยาวนานขึ้นผ่านการใช้อำนาจการต่อรองที่เหนือกว่า
จากข้อมูลงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนในปี 2559 พบว่า ระยะเวลาการชำระหนี้ให้แก่คู่ค้าของบริษัทขนาดใหญ่อยู่ที่ประมาณ 55 วัน และสำหรับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะนานถึง 62 วัน ซึ่งสูงกว่าระยะเวลา Credit term ของ SMEs ซึ่งอยู่ที่ 30 – 45 วัน

การเพิ่มขึ้นของระยะเวลา Credit term ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพคล่องทางการเงินของภาคธุรกิจที่นำมาสู่ปัญหาด้านหนี้สินและความสามารถทางการแข่งขันที่ลดลง ซึ่งจากกรณีศึกษาในต่างประเทศพบว่า ในหลาย ๆ ประเทศ ได้ดำเนินการแก้ไขดังกล่าวโดยการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานระยะเวลา Credit term เช่น ประเทศจีนที่เพิ่งออกกฎหมาย ‘การคุ้มครองการชำระค่าสินค้าและบริการให้แก่ SMEs’ เมื่อ ก.ค. 2563 ที่ผ่านมา โดยกำหนดให้หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการเงิน และธุรกิจขนาดใหญ่ ชำระค่าสินค้าและบริการให้แก่ SMEs ภายใน 30 - 60 วัน ทั้งนี้ สำหรับประเทศไทย ภาครัฐยังไม่มีแนวทางการแก้ไขปัญหาสภาพคล่องโดยการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานระยะเวลา Credit term จึงเสนอให้มีการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานระยะเวลาการให้สินเชื่อการค้า (Credit term) สำหรับการซื้อ-ขายระหว่างภาคธุรกิจ โดยให้มีผลบังคับใช้และบทลงโทษทางกฎหมาย รวมถึงมีแรงจูงใจด้านบวกให้ภาคธุรกิจปฏิบัติตามอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด
โดยรายละเอียดข้อเสนอแนะเพื่อการดำเนินงานมีดังนี้
1. กำหนดเกณฑ์มาตรฐานระยะเวลา Credit term โดยลูกหนี้การค้าจะต้องชำระหนี้ให้แก่คู่ค้าภายในระยะเวลา
30 – 45 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละประเภทธุรกิจ ซึ่งเกณฑ์มาตรฐานระยะเวลา Credit term นี้
สอดคล้องและมีความยืดหยุ่นเพียงพอกับรูปแบบการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการในประเทศไทย
2. กำหนดให้บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยข้อมูลระยะเวลา Credit term โดยเฉลี่ยในการจัดทำแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1) และนำข้อมูลดังกล่าวเป็นหนึ่งในเงื่อนไขการประเมิน Socially Responsible Investing อาทิ การประเมินให้ตราสัญลักษณ์ของคณะกรรมการบรรษัทภิบาลแห่งชาติ (CGR) เพื่อส่งเสริมธรรมาภิบาลของบริษัทใน ตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเฉพาะด้านการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน (Sustainable Supply Chain)
3. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดแนวทางการส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจสำหรับภาคธุรกิจให้มีแนวปฏิบัติที่ดี (Best practice) ในการลดระยะเวลา Credit term เช่น กรมบัญชีกลางจัดสรรโควตาสำหรับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ สถาบันการเงินกำหนดสิทธิพิเศษทางการเงินและการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อ เป็นต้น
ทั้งนี้เพื่อให้ภาคธุรกิจได้มีระยะเวลาในการปรับตัว หน่วยงานผู้รับผิดชอบควรกำหนด “ช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่าน (Transitional period)” ให้ภาคธุรกิจเตรียมความพร้อมเพื่อสามารถประยุกต์ใช้เกณฑ์มาตรฐานระยะเวลา Credit term นอกจากนี้ ยังควรพิจารณาสร้างกลไกการตรวจสอบ ติดตาม และเพิ่มช่องทางการรับเรื่องร้องเรียนจากภาคธุรกิจ ประกอบกับการกำหนดตัวชี้วัดกลาง (KPI) ที่ยึดโยงกับหน่วยงานรับผิดชอบ โดยประเมินจากทั้งตัวแปรเชิงปริมาณและตัวแปรเชิงคุณภาพ เช่น จำนวนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เปิดเผยข้อมูลระยะเวลา Credit term ของธุรกิจขนาดใหญ่เฉลี่ยลดลงเป็น 30 – 45 วันภายในปี 2564 เป็นต้น
โดยสรุป การกำหนดเกณฑ์มาตรฐานระยะเวลาการให้สินเชื่อการค้า (ระยะเวลา Credit term) ถือเป็นหนึ่งในกลไกการแก้ไขและบรรเทาปัญหาสภาพคล่องให้แก่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs อีกทั้งยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำของอำนาจการต่อรองระหว่าง SMEs และบริษัทขนาดใหญ่ โดยควรดำเนินการควบคู่กับมาตรการเสริมสภาพคล่องในมิติอื่น ๆ อาทิ การส่งเสริมการเข้าถึงสินเชื่อประเภท Supply chain financing เพื่อเพิ่มเงินหมุนเวียนให้แก่ธุรกิจในห่วงโซ่อุปทาน
การสนับสนุนและพัฒนาระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ การเสริมสร้างทักษะในการดำเนินธุรกิจภายใต้บริบทของโลกยุคใหม่ เช่น การพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง การออกแบบบรรจุภัณฑ์ และการขยายตลาดบนโลกออนไลน์และการส่งออก เป็นต้น
ข่าวเด่น