ช่วงเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ธุรกิจหลายแห่งต่างลุ้นว่าจะขายของได้มากน้อยแค่ไหน เพราะถ้าขายไม่ดี กำไรคงหดหายหรือถ้าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น ก็อาจถึงขั้นขาดทุน ผลที่ตามมาคงหนีไม่พ้นสภาพคล่องหรือเงินสดในมือลดลงและไม่เพียงพอในการนำไปต่อยอดทำธุรกิจ ดังนั้น สภาพคล่องทางการเงินจึงมีความสำคัญต่อความอยู่รอดในการทำธุรกิจ
สังเกตเห็นว่า แม้บางบริษัทจะโชว์ตัวเลขกำไร แต่พบว่าขาดสภาพคล่องและถึงขั้นปิดกิจการ นั่นเป็นเพราะงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จมีการบันทึกตามเกณฑ์เงินค้าง ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ไม่ใช่เงินสดรับจ่ายจริง จึงไม่รู้ว่าบริษัทมีเงินสดในมือมากน้อยแค่ไหน
ดังนั้นวันนี้ มิสเตอร์ตลาดหลักทรัพย์ และคุณฐิเมธ โภคภัย แนะว่าถ้าคุณจะดูว่าบริษัทนั้นๆ มีสภาพคล่องดีแค่ไหน ให้คุณดูงบกระแสเงินสด เพราะบริษัทจะบันทึกรายการทางบัญชีที่เกิดขึ้น ณ จุดที่บริษัทได้รับเงินเข้ามา ณ ตอนนั้น เช่น ขายสินค้าออกไปก็บันทึกรายการในงบกระแสเงินสดเมื่อได้รับเงินเข้ามาจริงๆ ทำให้งบกระแสเงินสดเปรียบเสมือนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงการทำธุรกิจ และนี่คือกระแสเงินสด 3 อย่างที่ต้องดู
กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Cash Flow from Operation : CFO)
หมายถึง กระแสเงินสดที่เกิดจากกิจกรรมหลักที่ก่อให้เกิดรายได้และค่าใช้จ่าย เริ่มจากนำเงินไปซื้อวัตถุดิบมาผลิต จากนั้นนำสินค้าที่ผลิตเสร็จแล้วไปขายและรับเงินค่าขายสินค้า ดังนั้น กระแสเงินสดจากการดำเนินงานต้อง “เป็นบวก” นั่นหมายความว่า บริษัทขายของแล้วได้เงินสดเข้ามา หรืออีกนัยหนึ่งคือ มีสภาพคล่อง ถ้าจะนำไปขยายธุรกิจ ลงทุนต่อ จ่ายดอกเบี้ย หรือจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นก็นำไปใช้ได้ทันที
ตรงกันข้าม หากบริษัทมีกระแสเงินสด “ติดลบ” คาดเดาได้ว่าขาดสภาพคล่อง ถ้าคิดจะขยายธุรกิจคงติดๆ ขัดๆ และแน่นอนอาจเห็นการประกาศงดจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น
กระแสเงินสดจากการลงทุน (Cash Flow from Investment : CFI)
ตามคำนิยาม หมายถึงการได้มาและขายสินทรัพย์ระยะยาวและเงินลงทุนอื่นๆ ที่ไม่กระทบการดำเนินงาน เน้นรายการด้านการลงทุนเกี่ยวกับบัญชี สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน สินทรัพย์หมุนเวียนที่เกี่ยวกับการลงทุน
ถ้าบริษัทนำเงินสดไปลงทุนสินทรัพย์หมุนเวียน เช่น เงินลงทุนระยะสั้นเพื่อพักเงิน อย่างนี้จะไม่ทำให้ธุรกิจเติบโต ดังนั้น ถ้าจะดูว่าบริษัทนำเงินสดไปลงทุนเพื่อทำให้ธุรกิจเติบโตต้องไปดูการซื้อเครื่องจักร อุปกรณ์การผลิตใหม่ๆ หรือซื้อที่ดินขยายกิจการ
นอกจากนี้ กระแสเงินสดจากการลงทุนควร “ติดลบ” เพราะแสดงว่าบริษัทมีการลงทุนขยายกิจการต่อเนื่อง และเพื่อให้แน่ใจว่าเงินทุกบาทที่นำไปซื้อเครื่องจักร อุปกรณ์ต่างๆ แล้ว ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง ให้ดูที่อัตราหมุนเวียนทรัพย์สิน และ ROA ซึ่งทั้งสองค่านี้ควรเติบโตอย่างสม่ำเสมอ สะท้อนว่าเงินที่ลงทุนไปนั้นสามารถสร้างรายได้และกำไรกลับมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กระแสเงินสดจากการจัดหาทุน (Cash Flow from Financing : CFF)
จะบอกถึงการบริหารเงินของบริษัท ถ้าเห็นตัวเลขเป็นบวก ตีความได้ว่าบริษัทมีการระดมทุนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เช่น ออกหุ้นกู้ เพิ่มทุน แต่ถ้าตัวเลขเป็นลบ หมายถึง บริษัทนำเงินสดที่เหลือไปจ่ายหนี้หรือจ่ายเงินปันผล
แสดงว่าหากกระแสเงินสดจากการจัดหาทุน “ติดลบ” สะท้อนว่า หลังบริษัทนำเงินสดไปใช้ทำอย่างอื่น เช่น ไปซื้อที่ดิน เครื่องจักร เป็นต้น ก็ยังเหลือๆ นำมาจ่ายหนี้ จ่ายปันผล ตรงกันข้ามถ้า “เป็นบวก” ก็ต้องไปดูให้ลึกๆ ว่าทำไมมีเงินเข้ามา มาจากไหน นำมาเพื่อเสริมสภาพคล่องหรือไม่ ซึ่งในการประเมินว่าบริษัทจัดหาเงินได้อย่างเหมาะสม ส่วนหนี้สิน และ ROE ต้องมีความสม่ำเสมอ
ก่อนตัดสินใจซื้อหุ้น การวิเคราะห์งบการเงินเป็นหัวใจสำคัญประการหนึ่ง และงบกระแสเงินสดก็เป็นงบการเงินที่ต้องทำการวิเคราะห์ เพราะจะทำให้เห็นถึงความแข็งแรงของธุรกิจ และสามารถนำมาวิเคราะห์ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการขยายการลงทุน จ่ายเงินปันผล รวมถึงการชำระหนี้สิน
ข่าวเด่น