ชี้เฟดปรับลดงบดุลสัญญาณทองจบรอบขาขึ้นแรง Fund Flow ต่างชาติหนุนหุ้นแกว่งตัวขาขึ้น
ราคาทองคำปรับตัวลง 60 ดอลลาร์ต่อออนซ์สู่ระดับ 1,810 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนลดการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากแอสตร้าเซนเนก้า ออกมาเปิดเผยว่า วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งทางบริษัทพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดมีประสิทธิภาพ 90% ในการป้องกันไวรัสโควิด-19
จากที่บริษัทระบุก่อนหน้านี้ว่า ผลการวิเคราะห์เบื้องต้นพบว่าวัคซีนมีค่าประสิทธิภาพเฉลี่ย 70% นอกจากนี้ไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาใหญ่ที่สุดของสหรัฐ และ BioNTech ซึ่งเป็นบริษัทยาของเยอรมนี ได้ยื่นเรื่องขออนุมัติวัคซีน COVID-19 ต่อสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) หากอนุมัติก็จะส่งผลให้ไฟเซอร์สามารถทยอยใช้วัคซีนดังกล่าวกับชาวอเมริกันกลุ่มต่างๆ โดยกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ จะได้รับการฉีดวัคซีนก่อน
ขณะที่กลุ่มผู้ให้บริการในภาคส่วนที่สำคัญ ครูอาจารย์ คนจรจัด และนักโทษในเรือนจำ จะได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มต่อไป ตามมาด้วยกลุ่มเด็กและวัยรุ่นเป็นปัจจัยกดดันเพิ่มเติม
ด้งนั้นฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก มีมุมมองลบต่อราคาทองคำในระยะสั้น หลังปรับตัวลงหลุดระดับ 1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ลงมา โดยเรามองว่าราคาทองคำจะเริ่มสร้างฐานใหม่ในกรอบ 1,750-1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากเรายังไม่เห็นสัญญาณการปรับลดงบดุลของเฟด ปัจจุบันคงอยู่ที่ระดับ 7 ล้านล้านดอลลาร์
สำหรับประเด็นกดดันราคาทอง คือหากเฟดปรับลดงบดุลจะเป็นสัญญาณของการจบรอบขาขึ้นของทองคำในครั้งนี้ ทั้งนี้เราคาดกรอบราคาทองคำในสัปดาห์นี้ 1,770-1,830 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือคิดเป็นราคาทองคำไทยที่ 25,400-26,350 บาทต่อบาททองคำ
ขณะที่บรรยากาศการลงทุนในวันศุกร์ที่ผ่านมา (27 พ.ย.) ดัชนีปิดปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับการชุมนุมประท้วงทางการเมืองภายในประเทศ โดยดัชนียังถูกหนุนด้วยหุ้นกลุ่ม ETRON และ ENERG ประกอบกับกลุ่มที่ยัง Laggard อาทิ กลุ่ม PROP โดยดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,437.78 จุด +4.22 จุด +0.29% มูลค่าการซื้อขาย 7.73 หมื่นล้านบาท
ดังนั้น ฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก จึงคาดทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นในลักษณะ Sideway Up โดยมีแรงหนุนจาก Fund Flow ของนักลงทุนต่างประเทศ ที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศยังคงกดดันตลาด คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,410-1,470 จุด
ส่วนหุ้นที่น่าจับตามองสัปดาห์นี้ ได้แก่ หุ้น BCPG ราคาปิดล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 14.50 บาท ทะลุเส้นค่าเฉลี่ย EMA-200 พร้อมวอลุ่ม เริ่มกระตุก และ Slow Sto. เพิ่งส่งสัญญาณบวก คาดราคามีโอกาสขึ้นต่อ โดยมีแนวต้านมี่ 15.00-15.50 บาท ส่วนแนวรับอยู่ที่ 14.20 บาท และแนวต้านอยู่ระหว่าง 15.00-15.50 บาท ส่วนจัด cut loss อยู่ที่ 14.00 บาท
ด้านหุ้นTFG ล่าสุดราคาปิดอยู่ที่ 4.98 บาท กลับมายืนเหนือค่าเฉลี่ย EMA ทุกระดับ โดยมีสัญญาณบวกจาก Slow Sto.+MACD หนุน หากผ่านด่านแรกที่ 5.20 บาทได้ลุ้นทดสอบไฮเดิมแถว 5.65 บาท ส่วนแนวรับอยู่ที่ 4.94 บาท แนวต้านอยู่ระหว่าง 5.20-5.65 บาท และจุด cut loss อยู่ที่ 4.90 บาท
ข่าวเด่น