หุ้นทอง
คุยเรื่องเงินกับลูกอย่างไรดี


เทคนิคการพูดคุยกับลูก...เรื่องการใช้จ่ายเงิน


ครอบครัวหนึ่ง คุณพ่อหนุ่มชื่นชอบไอทีเป็นชีวิตจิตใจ แก็ดเจ็ตอะไรใหม่ๆ ออกมาก็ซื้อ ส่วนฝ่ายภรรยา ชอบแต่งตัวจึงมักจะมีเสื้อผ้าชุดใหม่ๆ รองเท้าคู่ใหม่ติดไม้ติดมือกลับบ้านเกือบทุกวันศุกร์
 
อีกครอบครัว คุณพ่อสมชาย หลังเลิกงานจะรีบกลับบ้านมารดน้ำต้นไม้ นั่งอ่านหนังสือ ขณะที่ภรรยาครอบครัวที่สองนี้ ก่อนเข้าบ้านก็แวะตลาดหน้าปากซอยซื้อผัก ปลา เพื่อมาทำอาหารเย็น และในวันหยุดสุดสัปดาห์คนในบ้านนี้ ถ้าไม่จำเป็นแทบจะไม่ออกไปไหน
 
มิสเตอร์ตลาดหลักทรัพย์ และคุณอุมาพันธุ์ เจริญยิ่ง ขอคิดต่อว่า ดังนั้นถ้าสองครอบครัวนี้มีลูกน้อย เมื่อเติบโตขึ้นมาเจ้าตัวเล็กบ้านไหนจะรู้จักคุณค่าของเงิน
 
 
ทุกวันนี้ คุณพ่อคุณแม่หลายคู่มักจะบ่นว่าลูกตัวเองใช้เงินเก่ง เอะอะอะไรก็แบมือขอเงิน และถ้าลูกเป็นแบบนี้อย่าเพิ่งไปโทษลูก ให้สำรวจตัวเองก่อนว่ามีพฤติกรรมเรื่องการวางแผนการเงินเป็นอย่างไร
 
ดังนั้น ก่อนจะสอนลูกให้รู้จักคุณค่าของเงิน คุณพ่อคุณแม่จะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีเกี่ยวกับการ “วางแผน” และ “วินัย” ด้านการเงินก่อน
 
แล้วคุณจะเริ่มสอนลูกให้รู้จักการออมเงินอย่างไร” เรื่องนี้ไม่ยาก เพราะไม้อ่อนนั้นยังดัดง่าย คุณพ่อคุณแม่อาจใช้เทคนิคการสอนโดยใช้อายุมาเป็นหลักก็ได้ เพราะอายุของเด็กมีผลต่อการรับรู้และความเข้าใจกับเรื่องเงินๆ ทองๆ
 
ถ้าเจ้าตัวเล็กอายุยังไม่ถึง 5 ขวบ แน่นอนเด็กวัยนี้ยังไม่เข้าใจเรื่องเงินทอง แต่สามารถรับรู้ผ่านทางอารมณ์และความรู้สึกได้ดี เช่น ภาพที่เห็นจากโฆษณาจะกระตุ้นความต้องการซื้อของเด็กก่อนถึงเวลาอันควรได้ ดังนั้น เด็กวัยนี้ไม่ควรให้ดูทีวีมากจนเกินไป
 
หนังสือนิทานเกี่ยวกับการออมเงินถือเป็นอาวุธคู่กายที่คุณพ่อคุณแม่ต้องนำมาสอน แล้วคุณจะเซอร์ไพรซ์เลยว่าการสอนเรื่องการออมให้กับเด็กวัยนี้อย่างสม่ำเสมอนั้น จะสามารถพัฒนาเรื่องเหตุและผลด้านคุณค่าของเงินขึ้นตามอายุ ถ้าคุณเห็นเจ้าตัวน้อยรู้สึกภูมิใจกับเงินที่เพิ่มขึ้นในกระปุก นั่นหมายความว่าเขาเข้าใจเรื่องการออมเบื้องต้นแล้ว
 
ถ้าบ้านไหนมีลูกอายุ 6 – 12 ขวบ เทคนิคการสอนเด็กวัยนี้ให้รู้จักค่าของเงิน เริ่มจากการให้เงินไปโรงเรียน ซึ่งมีคำถามตามมาว่าแล้วจะให้เงินมากน้อยเท่าไหร่ คำตอบคือ คุณพ่อคุณแม่ต้องสำรวจว่าในโรงเรียนมีค่าใช้จ่ายแค่ไหน เช่น ขนมและน้ำดื่มราคาเท่าไหร่ สมมติว่าขนม 1 ชิ้น ราคา 15 บาท น้ำ 1 แก้ว ราคา 8 บาท อาจจะให้เงินลูกไปโรงเรียน 30 บาท

เหตุผลที่ให้เงินเกินก็เพื่อสอนลูกให้รู้จักเก็บ โดยเมื่อกลับถึงบ้านต้องถามลูกว่าวันนี้เหลือเงินเท่าไหร่ เมื่อมีเงินเหลือก็สอนให้นำไปหยอดกระปุก และเมื่อเห็นพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินแล้ว ก็เริ่มให้เงินมากวันขึ้น เช่น 2 วันต่อครั้ง แล้วลองดูว่าจะมีเงินเหลือมาหยอดกระปุกเท่าไหร่ จากนั้นก็ให้ 1 สัปดาห์ต่อครั้ง ถ้าลูกรู้จักคุณค่าของเงิน จะทำให้เกิดการเก็บเงินที่สม่ำเสมอ

เมื่อผ่านไปสักระยะหรือเห็นว่าเงินเริ่มเต็มกระปุกแล้ว ก็พาลูกไปเปิดบัญชีออมทรัพย์ พร้อมๆ กับสอนการเก็บและการออมเงินเพื่อให้เข้าใจว่าเมื่อรู้จักเก็บแล้วก็ต้องรู้จักออมเพื่อให้งอกเงยขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากนี้ วิธีจูงใจที่ทำให้ลูกมีวินัยการออม ได้แก่ การแข่งขันเก็บเงิน โดยคุณพ่อคุณแม่จะมีกระปุกออมสินคนละ 1 กระปุก ถึงสิ้นเดือนมาดูกันว่าระหว่างกระปุกของคุณพ่อ คุณแม่ กับของคุณลูก ฝ่ายไหนจะเยอะกว่ากัน

หรืออีกวิธีที่ได้ผล ก็คือ บอกลูกว่าถ้าเก็บเงินได้เท่าไหร่ก็จะบวกเงินให้เท่านั้น เช่น วันนี้เหลือเงินจากโรงเรียน 5 บาท ก็ใส่กระปุกเพิ่มให้อีก 5 บาท เป็นการสร้างขวัญกำลังใจได้เป็นอย่างดี

ที่สำคัญ คุณพ่อ คุณแม่จะต้องจดบันทึกรายรับ รายจ่ายประจำวันให้ลูกๆ เห็นเป็นตัวอย่าง ซึ่งเป็นตัวช่วยให้รู้ว่าในแต่ละวันนั้นใช้เงินไปกับอะไรบ้าง เมื่อถึงสิ้นเดือนก็นำบันทึกดังกล่าวมาดู หากลูกๆ นำเงินไปใช้กับสิ่งฟุ่มเฟือย เช่น ซื้อยางลบ ดินสอชุดใหม่ ทั้งๆ ที่ชุดเก่ายังเหลือ ก็สามารถแนะนำได้

แล้วคุณจะแปลกใจเมื่อพบว่าแม้จะอายุเพียง 6 ขวบ เจ้าตัวเล็กก็สามารถบริหารเงินตัวเองได้ แถมยังรู้จักซื้อของอีกด้วย เพราะจะเลือกซื้อของตามลำดับความความสำคัญของตัวเอง

บ้านไหนมีลูกวัย 13 – 18 ปี ซึ่งเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น คุณพ่อคุณแม่ควรสอนลูกให้มีความรับผิดชอบในเรื่องเงิน ให้รู้จักใช้รู้จักจ่ายและรู้จักเก็บออม สอนให้รู้ค่าของเงินและสิ่งของเพื่อให้รู้จักคำว่า “แพงเกินไป”

เทคนิคการใช้จ่ายนั้น สามารถใช้วิธีเปรียบเทียบก็ได้ เช่น พาไปซูเปอร์มาร์เก็ต และก่อนจะซื้อของก็สอนลูกให้รู้จักเปรียบเทียบว่าของชิ้นไหนที่ซื้อแล้วเกิดความคุ้มค่า ที่สำคัญ ควรให้ลูกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกซื้อของใช้ราคารแพง เช่น ตู้เย็น ทีวี หรือรถยนต์คันใหม่ การเปิดโอกาสให้ช่วยเลือกและร่วมพิจารณาทั้งคุณภาพและราคา ทำให้ลูกรู้จักรับผิดชอบของที่ซื้อมาใช้ร่วมกัน และเป็นโอกาสที่คุณจะได้พูดคุยอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องเงินๆ ทองๆ ซึ่งการตั้งคำถามกับเด็กวัยนี้ ทำให้พวกเขารู้จักคำว่า “เหตุและผล” ก่อนการใช้เงิน

นอกจากนี้ ยังทำให้เด็กรู้จัก “ตั้งเป้าหมาย” เช่น หากต้องการของเล่นราคา 700 บาท พวกเขาจะรู้ว่าจะต้องเก็บเงินวันละเท่าไหร่ เช่น เดือนหน้าต้องการซื้อของเล่นราคา 700 บาท ก็ต้องเก็บวันละ 23 บาท

ดังนั้น ในครั้งถัดๆ ไป เมื่อเด็กอยากได้อะไร ก็จะตั้งเป้าหมายในการเก็บเงิน นอกจากนี้ยังมีเทคนิคที่ทำให้ลูกได้เรียนรู้คุณค่าของเงิน นั่นคือ การสอนให้ทำงาน เช่น ให้ลูกทำงานบ้าน ช่วยคุณพ่อล้างรถ รดน้ำต้นไม้ ช่วยคุณแม่ทำกับข้าวเพื่อแลกกับค่าจ้าง หรืออาจจะบอกว่าถ้าเรียนได้เกรดดีจะมีรางวัล

เมื่อลูกๆ รู้จักการเก็บเงินแล้ว ขั้นถัดไปก็สอนการลงทุน ด้วยการพาไปเปิดบัญชีกองทุนรวม เพื่อให้เกิดการเรียนรู้เรื่องการลงทุน ซึ่งทุกวันนี้มีกองทุนรวมหลายๆ กองที่เริ่มต้นลงทุนได้เพียงเงินระดับร้อยบาท ซึ่งไม่เหลือบ่ากว่าแรงสำหรับลูกๆ ของคุณ

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 24 ธ.ค. 2563 เวลา : 16:43:44
30-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 30, 2024, 9:32 am