กรอบราคาทองโลกอยู่ที่ 1,690-2,000 ดอลล์
Fund Flow ทุนนอกเริ่มไหลกลับเข้าไทย
สำหรับแนวโน้มตลาดทองคำปี 2564
ราคาทองคำในปีนี้ยังคงผันผวนโดยมีปัจจัยหนุนจากผลกระทบทางเศรษฐกิจของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ต่อเนื่องมาจากปี 2563
ส่งผลให้เฟดยังคงซื้อพันธบัตรตามมาตรการ (QE) ต่อเนื่องส่งผลให้งบดุลของเฟดมีการขยายตัวต่อเนื่องสู่ 7.4 ล้านล้านดอลลาร์ และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่คาดว่าจะกลับมารุนแรงขึ้นเนื่องจากสหรัฐต้องการปกป้องภาคการผลิตในประเทศ
ส่วนการค้นพบวัคซีน COVID-19 ก็จะเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำเนื่องจากรัฐบาลทั่วโลกจะต้องถอนเม็ดเงินที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อซื้อวัคซีนมาฉีดให้แก่ประชาชนในประเทศ ส่งผลให้ปริมาณเงินในระบบลดลงและเป็นปัจจัยกดดันต่อทองคำ
ขณะที่ ด้านเทคนิค ราคาทองคำโลกในปี 2563 มีการสร้างจุดสูงใหม่ (All time high) ที่ 2,074 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นสัญญาณของการปรับตัวขึ้นรอบใหม่ ส่วนการค้นพบวัคซีนนั้น ทำให้ทองคำได้รับความสนใจในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยลดลง
ทั้งนี้ บล.โกลเบล็ก คาดว่ากรอบการเคลื่อนไหวของราคาทองคำโลกในปี 2564 อยู่ที่ 1,690-2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ดังนั้นปัจจัยที่น่าติดตามในปี 2564 ได้แก่
1. ประสิทธิภาพวัคซีน COVID-19 และการเข้าถึงวัคซีนของประชาชนในประเทศต่างๆ (-)
2. สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน (+)
3. ยอดการลงทุนของกองทุน SPDR (+)
4. การออกมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางประเทศต่างๆ (+)
นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ยังประเมินสถานการณ์ตลาดหุ้นไทย โดยคาดกรอบดัชนีปี 2564 ที่ 1,470-1,650 จุด โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังมีวัคซีนป้องกัน COVID และประชาชนเริ่มปรับตัวให้เข้ากับการแพร่ระบาดได้
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก คาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจอยู่ที่ที่ 3-4% และ EPS ของดัชนีหุ้นไทยที่ 83.9 (อ้างอิงจากคาดการณ์ Bloomberg) ด้านปัจจัยพื้นฐานเรามอง Fund Flow ของนักลงทุนต่างประเทศที่เริ่มกลับไหลเข้าไทยและประเทศแถบเอเชียอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนหลักของดัชนี
ขณะที่พื้นฐานเศรษฐกิจเราคาดว่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นทั้งในส่วนการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมยานยนต์ และโลจิสติกส์
ส่วนหุ้นที่น่าจับตามองในสัปดาห์นี้ 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ หุ้น GLOBAL ราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ 18.20 บาท โดยมีการสร้างฐานติดต่อกันกว่า 2 เดือนและเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาเป็นระยะซึ่งสังเกตได้จากการปิดสร้างแท่งเทียนเขียวตามรูป พร้อมวอลุ่มที่เพิ่มขึ้นสนับสนุนทิศทาง มีแนวรับที่ 17.90 บาท แนวต้านอยู่ที่ 18.70-19.50 บาท และมีจุด cut loss ที่ 17.50 บาท
และหุ้น NER มีราคาปิดล่าสุดที่ 4.30 บาท โดยราคากลับมายืนเหนือเส้น EMA ทุกเส้นอีกครั้งพร้อมวอลุ่มที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับค่าสัญญาณ RSI ที่กลับมาปรับตัวขึ้นสนับสนุนทิศทาง ส่วนแนวรับอยู่ที่ 4.24 บาท มีแนวต้านที่ 4.50-4.60 บาท และมีจุด cut loss ที่ 4.20 บาท
ข่าวเด่น