แม้ว่าตลอดปีที่ผ่านมาจะได้รับผลกระทบด้านของยอดขายไปบ้าง แต่ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบต่างๆ ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ หลังจากเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา เซ็นทรัล รีเทล ได้ประกาศยุทธศาสตร์หลัก “New Central, New Retail” เพื่อนำพาองค์กรไปสู่จุดมุ่งหมายของการเป็น “ศูนย์กลางชีวิตของผู้คน” (Central of Life) ด้วยการสร้างทิศทางในการดำเนินธุรกิจและพัฒนาอีโคซิสเต็มให้เป็น “New Central Retail Lifestyle & Food Platform” ที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปัจจุบัน เซ็นทรัล รีเทล มีเครือข่ายร้านค้าภายใต้แบรนด์ค้าปลีกที่สำคัญรวมอยู่ที่ประมาณ 3,764 ร้านค้า (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2563) ผ่านการนำเสนอสินค้าหลากหลายประเภท (Multi-category) หลากหลายรูปแบบและหลากหลายช่องทาง (Multi-format) ประกอบด้วย ห้างสรรพสินค้า, ร้านสะดวกซื้อ, ร้านขายสินค้าเฉพาะทาง, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาร์เก็ต และพลาซ่า
นอกจากนี้ ยังมีการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ในรูปแบบออมนิชาแนลครอบคลุมกลุ่มธุรกิจแฟชั่น ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน, โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์, ซูเปอร์สปอร์ต, Central Marketing Group (CMG) และรีนาเชนเต (Rinascente) ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าชื่อดังและเก่าแก่ของประเทศอิตาลี
ขณะที่กลุ่มฮาร์ดไลน์ก็มีธุรกิจที่ดูแล ดังนี้ ไทวัสดุ, บ้านแอนด์บียอนด์, เพาเวอร์บาย, เหงียนคิม, ออฟฟิศเมต, บีทูเอส ,เมพ (e-book) และธุรกิจกลุ่มฟู้ด ได้แก่ ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ เดลี่, ท็อปส์ พลาซ่า, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, แฟมิลี่มาร์ท, บิ๊กซี/โก! และลานชี มาร์ท เป็นแบรนด์ค้าปลีกที่เปิดในประเทศเวียดนาม ซึ่งจากการขยายธุรกิจที่หลากหลายดังกล่าว ส่งผลให้ปัจจุบันเซ็นทรัล รีเทล มีธุรกิจครอบคลุมอยู่ใน 3 ประเทศ คือ ประเทศไทย มีธุรกิจห้างสรรพสินค้า และร้านค้า รวมกัน 1,898 แห่ง ใน 55 จังหวัด ขณะที่ประเทศอิตาลี และประเทศเวียดนาม มีธุรกิจห้างสรรพสินค้า และร้านค้ารวมกันอยู่ที่ประมาณ 133 แห่ง (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563)
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าวว่า เพื่อนำไปต่อยอดสู่ความสำเร็จตามที่บริษัทได้เคยประกาศยุทธศาสตร์ไว้ ในปี 2564 นี้บริษัทจะยังคงเดินหน้าตามแผนการดำเนินงานเดิม ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงและขยายรูปแบบร้านใหม่ ในทุกกลุ่มธุรกิจทั้งกลุ่มแฟชั่น ฟู้ด และฮาร์ดไลน์ ให้มีความทันสมัยและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ เพื่อสร้างประสบการณ์ออมนิชาแนลใหม่ ๆ (Omnichannel Experience) ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัว CENTRAL โมบายล์แพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อทุกกลุ่มธุรกิจเข้าด้วยกัน พร้อมกับปรับโครงสร้าง Big Data ครั้งใหญ่ หลังพบว่าฐานลูกค้าที่มี Loyalty อยู่ในระบบมีมากถึง 24 ล้านคน
จากความสำเร็จที่ได้รับดังกล่าวทำให้ เซ็นทรัล รีเทล ต้องสร้าง Hyper-personalization Offer แพลตฟอร์มใหม่ที่จะรวบรวมสินค้าในเครือเซ็นทรัล รีเทล มาไว้ในแพลตฟอร์นี้ที่เดียว เพื่อมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม โดยปัจจุบันแพลตฟอร์มดังกล่าวมียอดผู้ใช้บริการแล้วกว่า 2 ล้านราย ภายหลังการเปิดตัวมาได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น
นอกจากนี้ เซ็นทรัล รีเทล ยังจะจับร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อติดอาวุธให้มีความแข็งแกร่งในรูปแบบอีโคซิสเต็ม โดยการร่วมมือกับ เจดี เซ็นทรัล มาร์เก็ตเพลส (JD Central Marketplace) และ เจดี ดิจิทัล (JD Digital) สร้างบริการการจ่ายเงินแบบดิจิทัลและโซลูชั่นด้านธุรกรรมทางการเงิน (DOLFIN) และกับแกร็บทำควิกคอมเมิร์ซ (Quick Commerce) ให้บริการออนดีมานด์ โดยเริ่มจากบริการการสั่งอาหารและTops Grocery ผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งหลังจากทดลองให้บริการในช่วงที่ผ่านมาพบว่าประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ เซ็นทรัลรีเทล มีแผนที่จะขยายการให้บริการไปยังกลุ่มสินค้าอื่นๆ ของกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อตอบสนองความต้องการแบบ On-demand ให้ครบทุกกลุ่มสินค้าทั่วประเทศ
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ เซ็นทรัล รีเทล ยังคงเดินหน้าดำเนินการอย่างต่อเนื่อง คือ การเข้าซื้อกิจการในธุรกิจต่างๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของกลุ่มฮาร์ดไลน์ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการใช้งบลงทุนไปกว่า 12,000 ล้านบาท เพื่อซื้อกิจการ ออฟฟิศเมต, บีทูเอส และเมพ (ร้านอีบุ๊คอันดับหนึ่ง) รวมไปถึงแพลตฟอร์มออมนิแชแนลสำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กร (B2B Omnichannel Platform) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ โดยล่าสุดได้เปิดตัวแฟลกชิปสโตร์แห่งใหม่ “บีทูเอส ธิงค์สเปซ” คอนเซ็ปต์สโตร์รูปแบบใหม่ ที่ห้างเซ็นทรัล ชิดลม ซึ่งหลังจากเปิดให้บริการได้ผลการรับการตอบรับจากลูกค้าดีเกินคาด
ในด้านของกลุ่มฮาร์ดแวร์ อย่างร้าน ไทวัสดุ เซ็นทรัล รีเทล ก็ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากปัจจุบัน ไทวัสดุ สามารถสร้างรายได้ขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของรายได้รวม และของช่องทางออมนิชาแนลด้านค้าปลีกวัสดุตกแต่งบ้าน (Omnichannel Home Improvement Retailer) หลังจากเปิดให้บริการมาเป็นระยะเวลา 11 ปี โดยปีที่ผ่านมา ไทวัสดุ สามารถทำรายได้รวมเกือบ 28,000 ล้านบาท ส่งผลให้ เซ็นทรัล รีเทล มีแผนที่จะเร่งเครื่องขยายเครือข่ายธุรกิจทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ เพื่อเพิ่มยอดขายขึ้นอีกเท่าตัวภายใน 3-5 ปี
นายญนน์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของกลุ่มธุรกิจกลุ่มฟู้ดในไทย บริษัทมีแผนที่จะยกระดับและเปิดสาขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์ให้เป็นแหล่งรวมอาหาร หรือ Food Destination ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า ขณะที่ธุรกิจในประเทศเวียดนาม เซ็นทรัล รีเทล จะเน้นการขยายธุรกิจฟู้ดและศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์ ภายใต้แบรนด์ Big C/GO! ด้วยการขยายธุรกิจหลากหลายช่องทาง (Multi-format) โดยการนำความสำเร็จของ ท็อปส์ มาร์เก็ต ไปเปิดที่เวียดนาม และขยายซูเปอร์มาร์เก็ต go! ไปยังจังหวัดรอง เพื่อให้ครอบคลุมทั้งประเทศเวียดนามภายใน 5 ปี
ปัจจุบัน เซ็นทรัล รีเทล สามารถขยายครอบคลุมในประเทศเวียดนามแล้วมากกว่า 30 จังหวัด (คิดเป็นสัดส่วน 85% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศเวียดนาม) และจะยังขยายธุรกิจต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพราะเวียดนามมีศักยภาพของธุรกิจฟู้ดและศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์ มากกว่าประเทศไทยถึง 2 เท่า
จากแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าว เซ็นทรัล รีเทล มั่นใจว่าสิ้นปี 2564 จะมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปี 2563 ที่มีรายได้รวม 194,311 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ที่ 13% โดยในปีนี้มีแผนที่จะใช้งบลงทุนรวมอยู่ที่ 18,000 บาท
ข่าวเด่น