จากอานิสงส์ของการ Work From Home และการขอความร่วมมือให้ทุกคนอยู่บ้าน เพื่อลดการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ชกลับมาคึกคักอีกครั้ง เห็นได้จากยอดขายออนไลน์ของหลายๆธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับยอดขายของกลุ่มธุรกิจ ทีวี ไดเร็ค ที่มีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ต้องออกมาประกาศปรับเป้าหมายยอดขายในช่องทางอีคอมเมิร์ชเพิ่มขึ้นเป็น 30% ในสิ้นปี 2564 นี้
ก่อนหน้านี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทีวี ไดเร็ค ได้ออกมาประกาศแผนเชิงรุกแล้วครั้งหนึ่งว่าจะหันมารุกธุรกิจในรูปแบบอีคอมเมิร์ซมากขึ้น เนื่องจากแนวโน้มช่องทางขายในรูปแบบดังกล่าวมีการขยายตัวในทิศทางที่ดี จึงได้มีการจับมือร่วมกับบริษัท โมโม่ดอทคอม จำกัด ยักษ์ใหญ่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซสัญชาติไต้หวัน นำเทคโนโลยีและฟีเจอร์ใหม่ๆ มาพัฒนาการจำหน่ายสินค้า และแพลตฟอร์มต่างๆ ภายในบริษัท โดยวางเป้าหมายไว้ว่า ภายในไตรมาส 2 ของปี 2564 นี้ จะใช้กลยุทธ์เพิ่มยอดขายจากโซเชียลคอมเมิร์ซ เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ ทวิตเตอร์ ด้วยการสร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด
นอกจากนี้ ยังได้มีการวางเป้าหมายในปีแรกของการรุกทำการตลาดในรูปแบบดังกล่าวไว้ว่า จะสร้างยอดขายในช่องทางอีคอมเมิร์ชให้มีสัดส่วนอยู่ที่ 15% จากเดิมปี 2563 ที่ผ่านมามีสัดส่วนอยู่ประมาณ 8% เท่านั้น ซึ่งจากแผนการดำเนินงานดังกล่าวทำให้ ทีวี ไดเร็ค วางเป้าหมายไว้ว่าภายใน 3 ปีนับจากนี้จะมีสัดส่วนยอดขายออนไลน์เพิ่มเป็น 50% ของยอดขายรวมทั้งหมด
หลังจากออกมาประกาศแผนเชิงรุกดังกล่าว ทีวี ไดเร็ค ก็เดินเกมรุกทันที ตั้งแต่เดือน มี.ค.ที่ผ่านมา และผลที่ได้จากการเดินเกมรุกดังกล่าว คือ ผลการตอบรับดีเกินคาด ส่งผลให้ล่าสุด ทีวี ไดเร็ค ต้องออกมาประกาศปรับเป้าหมายยอดขายในช่องทางอีคอมเมิร์ชอีกครั้ง ด้วยการเพิ่มสัดส่วนยอดขายในช่องทางอีคอมเมิร์ชเพิ่มเป็น 30% จากเดิมวางเป้าหมายไว้ว่าปีแรกจะมีสัดส่วนรายได้จากช่องทางดังกล่าวเพียงแค่ 15% เท่านั้น
นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ผู้นำธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านช่องทางทีวีและอีคอมเมิร์ช กล่าวว่า หลังจากบริษัทออกมาประกาศแผนธุรกิจปี 2021 ภายใต้กลยุทธ์ ‘Harmonized Channel’ รุกปรับช่องทางการจัดจำหน่ายเพื่อดันยอดขายช่องทางอีคอมเมิร์ช ล่าสุดบริษัทได้เดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซครั้งใหญ่ ทั้งเว็บไซต์ https://www.tvdirect.tv/ แอปพลิเคชัน และ Social Commerce เพื่อให้การบริการของ ทีวี ไดเร็ค เป็นเสมือนห้างสรรพสินค้าออนไลน์ที่มีสินค้าอย่างหลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการ ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะพาบริษัทก้าวไปสู่ผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีวีโฮมช้อปปิ้งของบริษัท
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ทีวี ไดเร็ค ได้มีการมุ่งเน้นด้านการลงทุน เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพระบบออนไลน์และการขยายฐานลูกค้าในช่องทางอีคอมเมิร์ซมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างน้อยอีก 1 แสนราย
ขณะเดียวกัน ก็ได้มีการเสริมทีมงานจัดซื้อ เพื่อรองรับการเพิ่มเป้าหมายขยายพอร์ตโฟลิโอสินค้าเป็น 100,000 SKU (หน่วยสินค้า) ภายในปีนี้ เนื่องจาก ทีวี ไดเร็ค ต้องการตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น จากเดิมตั้งเป้าหมายที่ 45,000 SKU โดยปัจุบันมีสินค้าที่จำหน่ายทางออนไลน์แล้วกว่า 12,800 รายการ และช่องทางทีวีโฮมช้อปปิ้งอีกกว่า 3,800 รายการ โดยจะเน้นไปที่การเพิ่มกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าสูง เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อระดับกลาง-บน เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวจะทำให้ ทีวี ไดเร็ค สามารถทำกำไรได้ดีขึ้น ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มดำเนินการเรื่องดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นายทรงพล กล่าวต่อว่า บริษัทได้พัฒนาช่องทาง Social Commerce ผ่านทาง Facebook, Line, และ Youtube เป็นช่องทางขายและสื่อสารเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยปีนี้บริษัทจะลงทุนต่อเนื่องด้านอีคอมเมิร์ซทั้งการปรับระบบหลังบ้านและขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยวางเป้าหมายว่าในปีนี้ช่องทางอีคอมเมิร์ซจะเป็นกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้และอัตราการเติบโตให้กับบริษัท จากปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนยอดขายจากช่องทางอีคอมเมิร์ซอยู่ที่ประมาณ 20% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีสัดส่วนเพียง 10% เท่านั้น ซึ่งอัตราการเติบโตดังกล่าวถือว่าเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นเร็วกว่าเป้าหมายที่วางไว้ และจากแนวโน้มที่ดีดังกล่าว ทำให้บริษัทต้องปรับเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากช่องทางดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 30% ภายในปี 2564 นี้ เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ Harmonized Channel
สำหรับช่องทางทีวีโฮมช้อปปิ้ง ทีวี ไดเร็ค มีแผนที่จะรีโพซิชั่นนิ่งครั้งใหญ่ จากปัจจุบันมีทีวีดาวเทียมที่ทำการตลาดทั้งหมด 9 ช่อง ได้แก่ พีเอสไอ,ไอพีเอ็ม ,จีเอ็มเอ็มแซท และ กลุ่มบิ๊ก 4 (INFOSAT, IDEASAT, LEO TECH, THAISAT) ด้วยการวางตำแหน่งทางการตลาดของแต่ละช่องใหม่ ส่วนช่องทาง Call center (คอลล์ เซ็นเตอร์) ทีวี ไดเร็ค จะนำฐานข้อมูลลูกค้า (Big Data) ไปทำการตลาดภายใต้กลยุทธ์ Customer Experience เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละกลุ่มหรือแต่ละเซ็กเมนต์ได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังจะมีการปรับกลยุทธ์การทำตลาดของ Call center ให้มีความใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น ด้วยการมอบหมายหน้าที่ของ Call center ให้ดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีและเกิดการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายทรงพล กล่าวปิดท้ายว่า ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทมุ่งเน้นในการลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเพื่อสร้างอินฟราสตรักเจอร์รองรับการเติบโตของธุรกิจโดยรวม เพราะบริษัทเชื่อว่าการวางแผนธุรกิจที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซจะทำให้ธุรกิจมีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ และที่สำคัญไปกว่านั้น คือ จะผลักดันให้ผลประกอบของบริษัทในครึ่งปีหลังมีความแข็งแกร่งมากขึ้น และสามารถสร้างผลกำไรที่ดี
จากแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าว ทีวี ไดเร็ค คาดหวังว่าในปี 2567 จะมีสัดส่วนรายได้ที่มาจากช่องทางเดิมประมาณ 50% และอีก 50% มาจากช่องทางอีคอมเมิร์ซ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ทีวี ไดเร็ค คาดว่าจะมีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท ขณะที่ปี 2564 คาดว่าจะมีสัดส่วนมาจากช่องทางอีคอมเมิร์ซ 30% จากรายได้รวมทั้งปีที่คาดว่าจะอยู่ที่กว่า 4,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 3,800 ล้านบาท
ข่าวเด่น