หลังจากออกมาประกาศจะรุกทำธุรกิจอี-คอมเมิร์ซอย่างจริงจังในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ด้วยการเดินหน้าขยายธุรกิจพาณิชย์หลากหลายช่องทาง (Multi-platform Commerce หรือ MPC) ให้เป็น Business Model ใหม่ ภายใต้แนวคิด “ทำธุรกิจใหม่ ไร้กรอบ” อาร์เอส ก็ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการรีแบรนด์ธุรกิจครั้งใหญ่ ภายใต้ชื่อ “RS Mall” เพื่อขยายแนวรุกเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มทุกรูปแบบ ให้สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล
หรือการจับมือกับบริษัท บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล ช้อปปิ้ง จำกัด หรือ BIS เข้ามารุกตลาดค้าปลีกผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มอย่างเต็มรูปแบบ และล่าสุดได้มีการจับมือกับบริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ยักษ์ใหญ่สื่อนอกบ้าน (Out Of Home) จัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อประกอบธุรกิจพาณิชย์ ลุยธุรกิจคอมเมิร์ซและการตลาด
อีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้ อาร์เอส หันมารุกธุรกิจอี-คอมเมิร์ซมากขึ้น คือ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แม้จะส่งผลกระทบเชิงลบให้กับหลายธุรกิจถึงขั้นเลิกกิจการกันไปจำนวนมาก ในทางกลับกันธุรกิจอีคอมเมิร์ซกลับเติบโตสวนกระแส และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทย ทำให้หลายองค์กรเริ่มประกาศให้พนักงานกลับไปสู่การทำงานจากที่บ้าน (Work from home) กันอีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับสถานศึกษาจำนวนมากก็ประกาศปรับการเรียนการสอนไปสู่ระบบออนไลน์ (Learn from home) ปัจจัยดังกล่าวนี้เองเป็นตัวเร่งให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป และหันมาช้อปปิ้งออนไลน์กันมากขึ้น ส่งผลให้คาดการณ์ได้ว่าธุรกิจกลุ่มอีคอมเมิร์ซในปี 2563 มีมูลค่าสูงถึง 294 พันล้านบาท สูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 220 พันล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 81% จากปี 2562 ที่มีมูลค่า 163 พันล้านบาท
นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจอี-คอมเมิร์ซและธุรกิจสื่อและบันเทิง กล่าวว่า หลังจากบริษัทได้ทรานส์ฟอร์มธุรกิจ ด้วยการหันมาลุยธุรกิจคอมเมิร์ซอย่างเต็มตัว โดยการปรับโมเดลธุรกิจเป็นเอ็นเตอร์เทนเมิร์ซ (Entertainmerce) และดึงศักยภาพทุกกลุ่มในเครือสนับสนุนงานซึ่งกันและกัน จนทำให้ปัจจุบันสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทเพิ่มขึ้นในทุกปี ล่าสุดบริษัทได้มีการได้จับมือบริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ยักษ์ใหญ่สื่อนอกบ้าน (Out Of Home) จัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อประกอบธุรกิจพาณิชย์ ด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจอี-คอมเมิร์ซและการตลาด
เหตุผลหลักของการจับมือร่วมกันดังกล่าว คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และจัดจำหน่ายสินค้าไปยังตลาดทั่วประเทศ โดย อาร์เอส กรุ๊ป จะเป็นผู้ถือหุ้น 51% และบริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 49% ซึ่งการลงทุนดังกล่าว เป็นการนำจุดแข็งของทั้งสองบริษัทมาผนึกกำลัง สร้างศักยภาพในการแข่งขันในธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ และยังมีส่วนเสริมให้ Ecosystem ของธุรกิจของทั้งสองบริษัทมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
นายสุรชัย กล่าวต่อว่า จากเดิมธุรกิจอี-คอมเมิร์ซของบริษัทจะเน้นไปที่การเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม แต่หลังจากจับมือกับบริษัท แพลน บี มีเดีย จะทำให้การร่วมทุนในครั้งนี้มีการสร้างสินค้าใหม่ เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายในตลาดแมสมากขึ้น โดยบริษัทจะเป็นผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์ ทำการตลาด และจัดจำหน่ายสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคทั่วประเทศ ขณะที่ บริษัท แพลน บีฯ จะทำหน้าที่กระจายสื่อโฆษณาภายนอกตามที่อยู่อาศัย เพื่อส่งตรงไปยังผู้บริโภค ซึ่งแนวทางการทำตลาดดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างการรับรู้ และสื่อสารผลิตภัณฑ์ใหม่ไปถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทั่วถึงมากขึ้น
ด้าน นายปรินทร์ โลจนะโกสินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทถือเป็นผู้นำสื่อโฆษณานอกบ้าน ที่มีช่องทางหลากหลายครอบคลุมทั่วประเทศ อาทิ สื่อบนรถไฟฟ้า ป้ายโฆษณาบริเวณทางด่วน จอ LED ขนาดใหญ่ หลายหมื่นตารางเมตรทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละจุดล้วนตั้งอยู่บนจุดที่มีทราฟฟิกผู้พบเห็นสูงประมาณนับล้านคนต่อวัน นอกจากนี้ บริษัทยังมีการขยายธุรกิจสื่อโฆษณากระจายออกไปนอกประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนบริษัทได้มีการเข้าไปทำตลาดแล้วในหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และลาว เพื่อรองรับการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศในอนาคต
ดังนั้น การจับมือกับอาร์เอสในครั้งนี้ แพลน บีฯ เชื่อว่าประสิทธิภาพของสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัยที่มีจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่มีความหลากหลายในด้านของพฤติกรรมได้ เนื่องจาก แพลน บีฯ มีสื่อโฆษณาที่หลากหลาย และเหมาะสมกับยุคนี้ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ แพลน บีฯ มั่นใจว่า จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ที่ทำร่วมกับอาร์เอส สามารถสร้างการรับรู้และการจดจำแบรนด์ในกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายได้
นอกจากนี้ แพลน บีฯ ยังจะช่วยเสริมในด้านของคอนเทนต์ต่างๆ เช่น สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง , อาร์ทติส เมเนจเมนท์ และสื่อโฆษณาในร้านค้าสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่ยังคงเดินหน้าขยายให้ครบทุกสาขาทั่วประเทศ ซึ่งช่องทางการสื่อสารดังกล่าวจะช่วยให้สร้างความผูกพันที่ดีระหว่างผู้บริโภคกับสินค้าได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ดี ในส่วนของปี 2564 นี้ อาร์เอส ได้ตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 5,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่มีรายได้อยู่ที่ 3,791.07 ล้านบาท โดยหลักๆ มาจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากการพัฒนาสินค้าใหม่ และขยายฐานช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เนื่องจาก อาร์เอส จะมีการเพิ่มประสิทธิภาพการขายในระบบไอที ตลอดจนช่วยเพิ่มยอดลูกค้าใหม่ และการซื้อสินค้าซ้ำ โดยในส่วนนี้การเติบโตจะมาจากส่วนเพิ่มจากกลุ่มธุรกิจใหม่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ได้แก่ กลุ่มอาหารเสริม, functional drink, อาหารสัตว์เลี้ยง และสร้างเครือข่ายตัวแทนจัดจำหน่ายรายใหญ่ผ่านแบรนด์ well U
นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะมีรายได้มาจากสินค้าใหม่ ซึ่งล่าสุด อาร์เอส ได้มีการเตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่ที่มีส่วนประกอบของกัญชงไม่ต่ำกว่า 4 SKU เน้นในกลุ่มเครื่องดื่ม อาหาร อาหารเสริม โดยคาดจะสามารถเตรียมสินค้าใหม่ได้หลังกฎหมายประกาศรองรับการออกสินค้าประเภทอาหารได้แล้ว 3-6 เดือน ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างเตรียมเซ็นสัญญากับผู้ปลูก โรงสกัด และ โรงงานรับจ้างผลิต OEM พร้อมกันนี้ ยังจะมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นในส่วนธุรกิจมีเดียจากช่อง 8 ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากรายการข่าว ละคร และรายการวาไรตี้ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังจะมีรายได้มาจากการบริหารสินทรัพย์คอนเทนท์เพลง รายการวิทยุ ดารา นักร้อง ในสังกัดของ RS ธุรกิจ ลิขสิทธิ์คอนเทนต์ และธุรกิจอื่นๆ
ข่าวเด่น