ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่หนักพอสมควรสำหรับการทำธุรกิจของผู้ประกอบการในธุรกิจค้าปลีก เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังไม่มีทีท่าจะทุเลาเบาบางลง ทำให้ความหวังของผู้ประกอบการทุกคนในตอนนี้ คือ การได้วัคซีนมาฉีดให้กับประชาชนในประเทศให้ได้เร็วที่สุด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งจากผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าวทำให้ผู้บริหารของ เดอะมอลล์ กรุ๊ป ออกมาประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในครั้งนี้ว่า เหมือนการทำสงครามโลกครั้งที่ 3

น.ส.ศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ดิ เอ็มโพเรียม ดิ เอ็มควอเทียร์ และพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ กล่าวในงานสัมมนา “ประสานพลังเพื่อคู่ค้า เดินหน้าฟื้นฟูธุรกิจ” ว่า การระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อทั่วโลกเป็นอย่างมาก ซึ่งหากให้เปรียบเทียบกับความร้ายแรงก็เปรียบเสมือนกับการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่ส่งผลกระทบกับคนทั่วทั้งโลก
จากความรุนแรงของวิกฤตที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทุกภาคส่วนจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้ผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ โดยเฉพาะความชัดเจนในการบริหารจัดการในเรื่องของวัคซีนที่ต้องกระจายให้ทั่วถึงและเป็นไปตามกำหนดการ 100 ล้านโดส ตามที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ว่าฉีดให้ครบภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งหากทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่รัฐบาลได้วางไว้เชื่อว่าเศรษฐกิจของไทยจะกลับมาฟื้นตัวได้เร็วอย่างแน่นอน และเมื่อทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติเศรษฐกิจก็จะกลับมาเติบโตแบบก้าวกระโดดอีกครั้ง เพราะตอนนี้อนาคตของประเทศขึ้นอยู่กับวัคซีนเป็นหลัก
นางศุภลักษณ์ กล่าวต่อว่า สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันถือได้ว่าส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก และมีความรุนแรงมากกว่าวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงปี 2540 หรือยุค IMF เนื่องจากวิกฤตที่เกิดขึ้นในตอนนั้นส่งผลกระทบเพียงผู้ประกอบการภาคธนาคาร และกลุ่มผู้ที่กู้เงินจำนวนมากเท่านั้น แต่ในส่วนของภาคการท่องเที่ยวยังคงมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวได้ตามปกติ แตกต่างจากครั้งนี้ ที่ปัจจัยลบส่งผลกระทบกับทุกบุคคลและทุกกลุ่มอาชีพ
อย่างไรก็ดี ในมุมกลับกันแม้ว่ากลุ่มสินค้าระดับกลาง-ล่างจะชะลอตัว เนื่องจากผู้บริโภคระมัดระวังในเรื่องของการจับจ่ายใช้สอย แต่ในด้านของกลุ่มสินค้าที่เจาะตลาดระดับบน (พรีเมี่ยมแบรนด์) ยังคงได้รับความนิยมและมียอดขายที่ดี เนื่องจากกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อไม่สามารถเดินทางไปจับจ่ายในต่างประเทศได้ จึงหันมาซื้อสินค้าแบรนด์เนมภายในประเทศแทน
ทั้งนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจภายในประเทศจะยังค่อนข้างชะลอตัว แต่ประเทศไทยก็ต้องมองไปที่อนาคตและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศ และการดึงเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น ในปี 2564 นี้ยังคงเป็นปีที่ประเทศไทยต้องอดทนอดกลั้น เพื่อประคองตัวเองให้ผ่านช่วงวิกฤตไปก่อน จากนั้นปี 2565 จะเป็นปีที่เริ่มคลานได้ เริ่มเดิน และกลับมาไปข้างหน้าในที่สุด
นางศุภลักษณ์ กล่าวอีกว่า แนวทางการเดินหน้าประเทศไทยภายหลังการระบาดของโรคโควิด-19 โดยส่วนตัวมองว่า นโยบายในการขับเคลื่อนประเทศด้านการท่องเที่ยวคือเรื่องใหญ่ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวและบริการเป็นหลัก ดังนั้นนับจากนี้จะต้องมีการปรับบทบาทใหม่ (repositioning tourism) ของภาคท่องเที่ยวในไทย โดยให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศเน้นจับจ่ายเพื่อการท่องเที่ยวมากขึ้น แทนที่การเข้ามาใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีต
นอกจากนี้ ยังต้องหันมาพัฒนาสินค้าด้านการท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มเติม เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่มีการพัฒนาสินค้า เพื่อป้อนตลาดและดึงเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศเท่าที่ควร ซึ่งแนวทางการเดินหน้าประเทศนับจากนี้คงต้องรอดูว่า ไทยจะสามารถเปิดประเทศได้เมื่อไหร่ และการเปิดภูเก็ตแซนด์บอกซ์จะเป็นไปตามกำหนดการในเดือน ก.ค.นี้ได้หรือไม่ เพราะถ้าหากยืดเยื้อออกไปก็น่าจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของ เดอะมอลล์ กรุ๊ป นับจากนี้ จะยังคงให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายเล็กและรายใหญ่ที่เป็นคู่ค้าผ่าน 4 มาตรการหลัก ดังนี้
1.มาตรการรณรงค์ “ฉีดวัคซีน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ด้วยการร่วมมือกับเอกชนทุกภาคส่วน สนับสนุนภาครัฐเพื่อให้การฉีดวัคซีนโควิด-19 เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและเร่งด่วนด้วยงบประมาณกว่า 200 ล้านบาท สนับสนุนพื้นที่ 6 สาขา ได้แก่ เดอะมอลล์ บางกะปิ, เดอะมอลล์ บางแค, ดิ เอ็มโพเรียม และสยามพารากอน, เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน, เดอะมอลล์ โคราช โดยจะดำเนินการระหว่างเดือนพ.ค.-ธ.ค.2564 ร่วมกับกรุงเทพมหานคร, จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดนครราชสีมา คาดว่าจะบริการฉีดวัคซีนได้วันละ 2,000-5,000 คน/สาขา รวมทุกสาขา 12,000 คน/วัน หรือ 400,000 คน/เดือน
2.มาตรการ “บริจาค ฟันฝ่าวิกฤตการณ์โควิด-19” ด้วยการรวมบริจาค “เงิน” และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างดำเนินการบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์และเครื่องช่วยหายใจรวมมูลค่า 10 ล้านบาท และรวมมูลค่าทั้งโครงการทั้งสิ้น 30 ล้านบาท พร้อมทั้งสนับสนุนการบริจาคแก่หน่วยงานต่าง ๆ
3.มาตรการ “สนับสนุน SMEs และเกษตรกรไทย” ด้วยการเปิดมาตรการช่วยเหลือภาคเกษตรกรรมและเปิดพื้นที่เดอะมอลล์ทุกสาขาตลอดทั้งปี เป็นช่องทางการจำหน่ายสินค้าเพื่อช่วยระบายสินค้าภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรมแปรรูป ภาควิสาหกิจชุมชน OTOP ตลอดจน SMEs โดยได้นำร่องด้วยโครงการตลาดคัดไทย, เดอะมอลล์ ตลาดรวมใจ, THE MALL TOGETHER MARKET, เดอะมอลล์บ้านของคนโคราช ฯลฯ
และ 4.มาตรการ “ประสานพลังเพื่อคู่ค้า เดินหน้าฟื้นฟูธุรกิจ” ผนึกกำลังภาครัฐและเอกชนร่วมกับสถาบันการเงิน 6 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย กรุงเทพ ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย กรุงศรีอยุธยา และออมสิน เพื่อสนับสนุนสินเชื่อฟื้นฟู soft loan และเพิ่มศักยภาพให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้เข้าถึงสินเชื่อฟื้นฟู เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย
ปัจจุบัน เดอะมอลล์ กรุ๊ป มีผู้ประกอบการ ร้านค้า และผู้ประกอบการรายย่อย รวมกว่า 6,000 ราย ซึ่งการให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้ เดอะมอลล์ เชื่อว่า คู่ค้าจะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน และพยุงธุรกิจให้ผ่านสถานการณ์นี้ไปได้
ข่าวเด่น