Media Briefing : FX Ecosystem ครั้งที่ 3 ความคืบหน้าแผนการผลักดัน FX ecosystem ใหม่

1. ผลสำเร็จของนโยบายที่ดำเนินการแล้ว
1.1.การปรับเกณฑ์บัญชี FCD ให้สะดวกคล้ายบัญชีเงินบาท
เพื่อส่งเสริมให้บัญชี FCD เป็นต้นทางสำหรับการต่อยอดการลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศและการบริหารความเสี่ยงของผู้ประกอบการได้ดีขึ้น โดยผ่อนคลายเกณฑ์ดังนี้ 1) ยกเลิกการแยกประเภทบัญชี 2) คนไทยสามารถซื้อ เงินตราต่างประเทศฝากเข้าบัญชีได้เสรีโดยไม่จำกัดจำนวน 3) การโอนระหว่างบัญชี FCD ของคนไทยในประเทศทำได้เสรีโดยไม่ต้องแสดงเอกสาร
- การใช้บัญชี FCD ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจำนวนบัญชีและผู้ใช้บริการ โดยปริมาณธุรกรรมเฉลี่ยต่อเดือนปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 จากประมาณ 101.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (เดือน ม.ค. 63 ถึงเดือน พ.ย. 63) เป็น 140.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (เดือน ธ.ค. 63 ถึงเดือน เม.ย. 64) ซึ่งเป็นผลจากหลักเกณฑ์ที่ผ่อนคลายและค่าธรรมเนียมที่ลดลง โดยธนาคารหลายแห่งได้ประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนสำหรับบัญชี FCD ภายในธนาคารเดียวกัน
- ผู้ได้รับประโยชน์จากการผ่อนคลายส่วนใหญ่เป็นรายใหม่ และกระจายไปในทุกกลุ่ม โดยจำนวนผู้ใช้บริการรายใหม่เป็นกลุ่มบุคคลธรรมดากว่าร้อยละ 60 ที่ทำเพื่อซื้อขายทองคำเป็นสกุลดอลลาร์ สรอ. ขณะที่กลุ่มนิติบุคคลมีธุรกรรมการโอนระหว่างกันเพิ่มขึ้นในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ ปิโตรเคมี ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก และยานยนต์ โดยสกุลเงินที่นิยมใช้สูงสุด ได้แก่ เงินดอลลาร์ สรอ. เงินหยวน เงินยูโร เงินปอนด์ และเงินเยน
1.2.ปรับเกณฑ์และกระบวนการลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศให้ง่ายและสะดวกขึ้น
โดย 1) เพิ่มวงเงินลงทุนรายย่อยเป็น 5 ล้านดอลลาร์ สรอ. ต่อปี 2) ยกเลิกการจัดสรรวงเงินลงทุนของผู้ลงทุนสถาบันภายใต้ ก.ล.ต. และยกเลิกการจำกัดวงเงินของการลงทุนผ่านตัวแทน 3) ขยายขอบเขตสินทรัพย์ FX ที่สามารถซื้อขายในประเทศ ให้รวมถึงตราสารทางการเงินทุกประเภท และการซื้อขายทองคำด้วยสกุลเงินดอลลาร์ สรอ.
- เกณฑ์ที่ผ่อนคลายมากขึ้น ช่วยสนับสนุนให้การลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยนับจากไตรมาสสุดท้ายปี 63 ถึงเดือน พ.ค. 64 คนไทยออกไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศกว่า 17.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เมื่อเทียบกับในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ที่มีค่าเฉลี่ยการออกไปลงทุนต่อปีเพียง 3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. และค่าสูงสุดต่อปีที่ 10 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นผลจากภาวะตลาดที่เอื้อต่อการลงทุนต่างประเทศด้วย ส่งผลให้ความ “ติดถิ่น” ในการลงทุนของคนไทยปรับลดลง โดยดัชนี Home-Bias ไทยปี 2564 ลดลงมาอยู่ที่ 0.93 จากระดับ 0.95 ที่เป็นค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง ซึ่งสะท้อนแนวโน้มการกระจายการลงทุนที่ดีขึ้น
- การลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากการกระจายการลงทุนของบุคคลทั่วไปเป็นหลัก โดยจำนวนผู้ลงทุนรายย่อยที่บริหารการลงทุนเองปรับเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า จาก 15,660 ราย เป็น 34,897 ราย ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มช่องทางและรูปแบบการลงทุนใหม่ของผู้ให้บริการ ระยะถัดไป ทางเลือกการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศจะมีความหลากหลายเพิ่มขึ้น โดยครอบคลุมทั้งการลงทุนในหุ้นต่างประเทศรายตัวด้วยต้นทุนต่ำ การซื้อขายทองคำเป็นดอลลาร์ สรอ. รวมถึงการซื้อขายตราสารแสดงสิทธิ (Depositary Receipt : DR) อ้างอิงกับหุ้นต่างประเทศ
1.3.การลงทะเบียนแสดงตัวตนเพื่อซื้อขายตราสารหนี้ (Bond Investor Registration : BIR)
เพื่อยกระดับการติดตามเงินทุนเคลื่อนย้าย โดยในระยะแรกจะเริ่มดำเนินการกับนักลงทุนต่างชาติก่อน และจะดำเนินการกับนักลงทุนในประเทศต่อไป
- ธปท. ได้เปิดให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มลงทะเบียนแล้ว เมื่อเดือน เม.ย. 64 เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการซื้อขายตราสารหนี้ไทย โดยตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. 65 นักลงทุนต่างชาติต้องผ่านการลงทะเบียนก่อนจึงจะสามารถซื้อขายตราสารหนี้ไทยได้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยให้ภาครัฐมีข้อมูลที่ดีขึ้นในการติดตามพฤติกรรมนักลงทุนได้ทันการณ์ รวมถึงการดำเนินนโยบายและการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ด้วย
1.4.โครงการ Non-resident Qualified Company (NRQC)
เพื่อผ่อนคลายให้นิติบุคคลต่างประเทศ (NR corporate) ที่มีภาระรับหรือจ่ายเงินบาทจากการค้าและการลงทุนโดยตรงในไทย เข้ามาทำธุรกรรมเงินบาทกับสถาบันการเงินในประเทศได้สะดวกคล่องตัวขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มขนาดและความลึกของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนในไทย (onshore market)
- ตั้งแต่เดือน ม.ค. 64 ถึงเดือน มิ.ย. 64 นิติบุคคลต่างประเทศสมัครเข้าร่วมโครงการ NRQC จำนวน 27 ราย จากหลายอุตสาหกรรม อาทิ ปิโตรเคมี ยานยนต์ และเทคโนโลยี ส่งผลให้มีธุรกรรมของ NRQC กับสถาบันการเงินไทยแล้วประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
2.การผลักดัน FX ecosystem ระยะถัดไป:
การปรับหลักเกณฑ์การแลกเปลี่ยนเงิน (FX Regulatory Framework) เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถรองรับความผันผวนของค่าเงินได้ดีขึ้น มีแนวทางเบื้องต้นดังนี้ (1) ลดข้อจำกัดการใช้ FX ทั้งในและต่างประเทศ (2) ผู้ที่มีความเสี่ยง FX สามารถป้องกันความเสี่ยงได้ง่ายและยืดหยุ่นขึ้น (3) ยกเว้นการแสดงเอกสารสำหรับธุรกรรมที่ทำเป็นปกติ โดยได้หารือกับ stakeholders และอยู่ระหว่างการปรับแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องร่วมกับกระทรวงการคลัง ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในสิ้นปี 2564
ข่าวเด่น