แม้ว่าตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจค้าปลีกจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่อง หนักสุดก็น่าจะช่วงปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีเรื่องของปัจจัยลบในด้านของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เข้ามาเป็นส่วนประกอบ แต่ภาพรวมมูลค้าของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ก็ยังมีมูลค่าอยู่ในหลักล้านล้านบาท เห็นได้จากปี 2562 ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งมีมูลค่าอยู่ที่กว่า 1.2 ล้านล้านบาท และปี 2563 มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท
จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกรุงศรีระบุว่า ในปี 2564-2566 ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่จะมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยที่ 1.5-2.5% ต่อปี ตามกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามภาวะเศรษฐกิจ หลังจากปี 2563 ที่ผ่านมาติดลบอย่างรุนแรงไปแล้วจากปัจจัยลบการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ประมาณ 10-12% โดยในปี 2564-2566 มีการคาดการณ์ว่าภาพรวมธุรกิค้าปลีกในกลุ่มดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ จะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 2-3% ขณะที่กลุ่มธุรกิจดิสเคาน์สโตร์ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 1.3-2.3% กลุ่มธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ต คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 2.8-4.7% และกลุ่มธุรกิจคอนวีเนียนสโตร์ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 1.7-2.8%
แนวโน้มที่ดีดังกล่าวทำให้ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีก “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” เล็งเห็นโอกาสในการเข้ามาขยายธุรกิจค้าปลีกในเครือ หลังจากประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีจากการโดดเข้ามาทำธุรกิจในส่วนของซูเปอร์มาร์เก็ตภายใต้แบรนด์ "ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต" และธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ ภายใต้แบรนด์ "ซีเจ มอลล์"
นอกจากนี้ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด ยังมีธุรกิจในส่วนของร้านค้าปลีกประเภทต่างๆ อีกหลายแบรนด์ไม่ว่าจะเป็น ร้านนายน์ บิวตี้ (Nine Beauty) ร้านมัลติแบรนด์เครื่องสำอาง, ร้านบาว คาเฟ่ (Bao Cafe) ซึ่งร้านกาแฟสด, ร้านอูโนะ (UNO) ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ สินค้าแฟชั่น เครื่องเขียน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ,ร้านเอ-โฮม (A-Home) ร้านอุปกรณ์ DIY ต่างๆ และล่าสุดได้เข้ามาทำธุรกิจร้านสะดวกซื้อภายใต้แบรนด์ “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” ด้วยการจับมือกับพันธมิตรร้านโชห่วยที่ต้องการปรับปรุงร้านให้มีศักยภาพ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ได้
นายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด กล่าวว่า การที่บริษัทก้าวเข้ามาทำร้าน “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” เพราะต้องการยกระดับร้านค้าปลีกรายย่อยหรือร้านโชห่วยให้สามารถแข่งขันกับร้านค้าปลีกรายใหญ่ได้ ด้วยการเข้าไปให้ความรู้ในด้านของการตลาด และนำเทคโนโลยีเข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งหลังจากทดลองนำร้านโชห่วยที่ต้องการเปลี่ยนตัวเองให้เข้ามาอยู่ในระบบของ “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” พบว่าลูกค้าให้ผลการตอบรับที่ดีขึ้น
ปัจจุบันร้านโชห่วยในประเทศไทยมีอยู่ในชุมชนมากกว่า 4 แสนร้าน ส่วนใหญ่ประสบปัญหาในด้านของการแข่งขัน เนื่องจากส่วนใหญ่ยังคงทำการตลาดในรูปแบบเดิมๆ ทำให้ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด อยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการให้ความช่วยเหลือ ด้วยการพัฒนาร้านต้นแบบ “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” ขึ้นมา เน้นไปที่การให้ความรู้ การนำเทคโนโลยีเข้าไปใช้ การบริหารจัดการที่ดี หน้าร้านที่สวยงาม มีความทันสมัย และจับมือกับคู่ค้าต่างๆ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ควบคู่ไปกับการช่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้า ณ จุดขาย เพื่อให้ร้านโชห่วยที่เปลี่ยนมาเป็น “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” สามารถขายสินค้าได้มากขึ้น
หลังจากทดลองทำการตลาดร้านแรกที่จังหวัดนครปฐม ตามด้วยขอนแก่น และนครราชสีมา ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นายเสถียร กล่าวว่า แต่ละร้านมียอดขายที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกับผลกำไรจากยอดขาย เนื่องจากมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า ซึ่งจากผลการตอบรับที่ดีดังกล่าว ทำให้ปัจจุบัน “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” มีร้านโชห่วยสนใจเข้าร่วมปรับปรุงร้านเป็น “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” แล้วกว่า 1,000 สาขาทั่วประเทศ กระจายอยู่ใน 58 จังหวัด และในไตรมาส 3 นี้มีแผนที่จะขยายเพิ่มอีกกว่า 1,000 สาขา ขณะที่ไตรมาส 4 มีแผนที่จะขยายเพิ่มอีก 6,000 สาขา หรือเฉลี่ย 2,000 สาขาต่อเดือน เพื่อให้สิ้นปี 2564 นี้มี “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” เปิดให้บริการรวมไม่ต่ำกว่า 8,000 สาขาทั่วประเทศ
สำหรับแผนการขยายสาขา “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” ในอีก 2 ปีนับจากนี้ (2565-2566) บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด มีแผนที่จะขยาย “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” ให้ครบ 3 หมื่นสาขา ในปี 2565 และเพิ่มเป็น 5 หมื่นสาขา ในปี 2566 โดยร้านโชห่วยที่สนใจเข้ามาร่วมเปิด “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” จะได้รับส่วนแบ่งในด้านของผลกำไรอยู่ที่ประมาณ 85% ขณะที่บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด จะได้ส่วนแบ่งผลกำไรอยู่ที่ประมาณ 15%
นายเสถียร กล่าวต่อว่า จากแผนการดำเนินงานดังกล่าวทำให้ในปีหน้าบริษัทต้องเตรียมงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 7.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในด้านของการขยายสาขาประมาณ 3 หมื่นล้านบาท และการลงทุนในด้านของการสร้างศูนย์กระจายสินค้าอีก 15 แห่งทั่วประเทศ อีกประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีศูนย์กระจายสินค้าอยู่แล้วจำนวน 8 แห่งทั่วประเทศ ทั้งหมดเป็นการเช่า และเพื่อรองรับการขยายสาขาที่จะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในอีก 2 ปีนับจากนี้ บริษัทจึงมีความจำเป็นต้องลงทุนสร้างศูนย์กระจายสินค้าของตัวเอง
นอกจากจะให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจในด้านของร้านค้าปลีกแล้ว ในอนาคตบริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด ยังมีแผนที่จะหารายได้ในส่วนของบริการอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ เช่น รายได้จากตู้ ATM, ตู้เติมเงิน, เครื่องชั่งน้ำหนัก และโฆษณา ณ จุดขาย เป็นต้น
อย่างไรก็ดี แม้ว่าธุรกิจร้านค้าปลีกจะได้ผลการตอบรับที่ดี แต่บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด ยังคงมีผลประกอบการอยู่ในภาวะขาดทุน โดยในสิ้นปี 2564 นี้มีการคาดการณ์ว่าจะมีผลประกอบการขาดทุนอยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้านบาท เนื่องจากมีการใช้เงินเข้าไปลงทุนใน “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” ซึ่งในส่วนของการลงทุนในปี 2564 มีการใช้งบลงทุนไปกับ “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ การลงทุน “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” เป็นการลงทุนส่วนตัวในกลุ่มผู้บริหารคาราบาวแดง โดยมีนายยืนยง โอภากุล หรือคุณแอ๊ด คาราบาว และ น.ส.ณัญชไม ถนอมบูรณ์เจริญ ร่วมลงทุนด้วย ซึ่งการที่ผู้ร่วมทุนหันมาจับมือร่วมกันลงทุน “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” เพราะร้านดังกล่าวเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพ และถือเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญในการเชื่อมโยงธุรกิจค้าปลีกในเครือบริษัทให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ข่าวเด่น