แม้ว่าในช่วงกว่า 1 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจร้านอาหารจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มากพอสมควร ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่ไปต่อไม่ไหวต้องล้มหายไปจากตลาด แต่ขณะเดียวกันก็จะเห็นว่ามีหลายรายที่พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ขอโดดเข้ามาสู่สมรภูมิ Red Ocean เนื่องจากอาหารถือเป็นปัจจัย 4 ที่สำคัญของมนุษย์ และหนึ่งในเซ็กเม้นท์ที่น่าจับตามอง คือ ธุรกิจร้านอาหารเกาหลี
หากมองย้อนกลับไปก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ธุรกิจร้านอาหารเกาหลีมีอัตราการเติบโตต่อปีอยู่ที่ประมาณ 4-5% หรือมีมูลค่าตลาดอยู่ที่กว่า 2,000 ล้านบาท ขณะที่ตลาดรวมธุรกิจร้านอาหารมีมูลค่าอยู่ที่กว่า 4 แสนล้านบาท และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ทำให้มีการคาดการณ์ว่าภาพรวมของธุรกิจร้านอาหารในสิ้นปี 2564 นี้ น่าจะมีมูลค่าเหลือเพียง 3.50 แสนล้านบาท แต่หากมีสถานการณ์เลวร้ายเพิ่มเติมอาจจะเหลือเพียง 3.35 แสนล้านบาทเท่านั้น
อย่างไรก็ดี แม้ว่าธุรกิจร้านอาหารจะเจอวิกฤต แต่ก็ยังมีผู้ประกอบการรายใหม่โดดเข้ามาทำธุรกิจร้านอาหารเกาหลีในประเทศไทย เห็นได้จากเมื่อต้นปี 2564 ที่ผ่านมา ก็มีผู้ประกอบการเกาหลีจับมือกับผู้ประกอบการไทยเข้ามาเปิดให้บริการ K-StrEAT Korean Food Hall (เคสตรีท โคเรียน ฟู้ดฮอลล์) ที่ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ด้วยการชูจุดเด่นการเป็นศูนย์อาหารเกาหลีที่มีร้านอาหารเปิดให้บริการมากถึง 11 ร้าน เพื่อสร้างจุดต่างจากคู่แข่งในตลาด
นอกจากนี้ ยังชูจุดเด่นในด้านของการนำร้านอาหารเกาหลีร้านเด็ดจากย่านต่างๆ ของประเทศเกาหลีมาไว้ในศูนย์อาหารแห่งนี้ พร้อมกับชูจุดขายในด้านของราคาอาหารที่เข้าถึงได้ง่ายเป็นแม่เหล็กดึงลูกค้า ซึ่งหลังจากเปิดให้บริการ K-StrEAT Korean Food Hall ก็ได้ผลการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
ผู้ประกอบการรายต่อมาที่เห็นโอกาสในการเข้ามาทำตลาดร้านอาหารเกาหลี คือ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ล่าสุดได้ออกมาเปิดตัว Bomber Dog (บอมเบอร์ด๊อก) ร้านอาหารเกาหลีในรูปแบบสตรีทฟู้ด เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารเกาหลีแบบง่ายๆ สะดวก และรวดเร็ว
นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทนับจากนี้ จะให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจร้านอาหารประเภท Quick Service Restaurant มากขึ้น เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในยุคปัจจุบันและนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชีย
พร้อมกันนี้ จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ทำให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป จึงทำให้ TKN ต้องปรับกลยุทธ์และมองหาช่องทางการขายสินค้าที่สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป หนึ่งในนั้น คือ การเปิดธุรกิจร้านอาหารที่ตั้งอยู่นอกห้างค้าปลีก เพื่อป้องกันผลกระทบการปิดห้างค้าปลีกเมื่อมีวิกฤตโรคระบาด ด้วยเหตุนี้ TKN จึงตัดสินใจเปิดร้าน Bomber Dog ในรูปแบบ popup store โดยรูปแบบของการทำตลาดจะเน้นไปที่การขายแฟรนไชส์ ซึ่งในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2564 นี้ วางเป้าหมายไว้ว่าจะขยายแฟรนไชส์ร้าน Bomber Dog จำนวน 45 สาขา หรือเฉลี่ยเปิดต่อเดือนที่ประมาณ 8-10 สาขา และจะเปิดเพิ่มอีก 100 สาขา ภายในปี 2565
ปัจจุบันร้าน Bomber Dog มีสาขาเปิดให้บริการในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ปั๊มน้ำมัน และ Cloud Kitchen รวมประมาณ 18 สาขา และในเดือนก.ย.นี้ จะเปิดเพิ่มอีก 8 สาขา โดยเน้นขยายสาขาในพื้นที่ปั๊มน้ำมันเป็นหลัก ซึ่งในส่วนของค่าแฟรนไชส์จะมีด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ แบบรถเข็น จะมีค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น 123,000 บาท และแบบตั้งบนพื้นที่ จะมีขนาดพื้นที่ 2.5x2.5 เมตร มีค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น 260,000 บาท ซึ่งหลังจากเปิดให้บริการคาดว่าจะใช้เวลาคืนในการถึงจุดคุ้มทุนภายในระยะเวลา 6-8 เดือน
นายอิทธิพัทธ์ กล่าวต่อว่า Bomber Dog เป็นร้านสตรีทฟู้ดเกาหลีในรูปแบบเมนูทานเล่น เช่น คอร์นดอก ฮอทดอก ต็อกโบกี เฟรนช์ฟรายส์ ไก่ป๊อบ ไก่ทอดเกาหลี ที่ชูจุดเด่นด้านรสชาติที่อร่อยเหมือนต้นตำรับ ถือเป็นอาหารที่เข้าถึงง่ายสำหรับลูกค้าทุกกลุ่มและตอบโจทย์คนเมืองที่เร่งรีบระหว่างเดินทาง เน้นทานง่าย สะดวก และรวดเร็ว ซึ่งการลงทุนแฟรนไชส์ Bomber Dog จะเปิดสิทธิแก่ผู้ที่สนใจลงทุนด้านธุรกิจอาหาร โดยไม่จำเป็นต้องทำอาหารเป็นมาก่อน เน้นเปิดในพื้นที่ขนาดเล็กในทำเลที่มีศักยภาพ ทั้งโมเดลรถเข็น ปั๊มน้ำมัน และคอมมูนิตี้มอลล์ เป็นต้น
อีกหนึ่งรายที่เห็นโอกาสของธุรกิจร้านอาหารเกาหลี คือ บริษัท ดัคกาลบี้ กรุ๊ป จํากัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารเกาหลี ภายใต้แบรนด์ DAK GALBI, DGB, GALBI X และ WOK Station โดยล่าสุดได้ออกมาเปิดตัวเมนูอาหาร Plant-based Food ที่ทำจากวัตถุดิบของแบรนด์ Meat Zero ของ CPF เพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจดูแลสุขภาพ รวมไปถึงกลุ่มผู้บริโภคที่รับประทานมังสวิรัติ เนื่องจากกระแสการบริโภคเนื้อสัตว์จากพืช กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในหลายประเทศ รวมทั้งไทย โดยเฉพาะกลุ่มคนรักสุขภาพ ตลอดจนผู้บริโภคกลุ่มวีแกนและกลุ่มมังสวิรัติยืดหยุ่น (Flexitarian) Dak Balbi จึงทำให้บริษัท ดัคกาลบี้ กรุ๊ป เล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจ
นายทศพร วณิชวรพงศ์ กรรมการ บริษัท ดัคกาลบี้ กรุ๊ป จํากัด กล่าวว่า เมนูที่จะพัฒนาเข้ามาทำตลาด บริษัทจะนำวัตถุดิบจาก Meat Zero มาประยุกต์ให้เมนูอาหารมีความน่ารับประทานมากขึ้น ประกอบด้วย สลัดคิมบับไร้เนื้อ จากร้าน GALBI X ด้วยการนำโบโลน่าของ Meat Zero มารวมไว้ในข้าวห่อสาหร่าย และข้าวหมูสับคั่วกะเพราไร้เนื้อ จากร้าน WOK Station เพื่อให้เมนูอาหารมีรสชาติและลักษณะกลมกลืนเสมือนหมูสับ แต่ทำมาจากพืช เนื่องจากมีการคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงจัดจ้านแบบไทย เลยทำให้เมนูใหม่ที่นำมาแนะนำมีความน่ารับประทานมากขึ้น
สำหรับราคาจำหน่ายเมนูใหม่จะแยกเป็นชุดเมนู เช่น เมนู Combo Set ราคาพิเศษสำหรับแบรนด์ Dak Galbi, DGB. และ Galbi-X ได้แก่ Kimbap Zero ราคา 220 บาท ส่วนแบรนด์ WOK Station มี WOK Zero Set 1 (ข้าวหมูกรอบคั่วพริกเกลือไร้เนื้อ และข้าวหมูสับคั่วกระเทียมไร้เนื้อไข่เป็ดดาว) ขายในราคาเพียง 171 บาทเท่านั้น ซึ่งหลังจากนำเมนูอาหารดังกล่าวเข้าทำตลาด พบว่าลูกค้าให้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี
ข่าวเด่น