บริษัทอเบอร์ดีน สแตนดาร์ด อินเวสเม้นท์ (เอเอสไอ) ได้เปิดตัวกองทุนเปิด อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด โกลบอล ไดนามิค ดีวิเด็น ฟันด์ (“กองทุนเปิด ABGDD”) ในประเทศไทย มุ่งหวังให้ผู้ลงทุนไทยสร้างโอกาสในการเก็บดอกผลจากรายรับและการเติบโตของมูลค่าเงินทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก
กองทุนเปิด ABGDD นี้มีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ กองทุน Aberdeen Standard SICAV I – Global Dynamic Dividend Fund (“กองทุนหลัก”) ซึ่งลงทุนในหุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่าทั่วโลก ด้วยกลยุทธ์การลงทุนที่แตกต่าง โดยกองทุนหลักมุ่งหวังที่จะมอบโอกาสในการรับผลตอบแทน[1] จากกระแสรายรับเป็นประจำทุกเดือน[2] รวมถึงโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนจากกำไรจากมูลค่าของหุ้นที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
กองทุนหลัก ซึ่งบริหารจัดการโดยทีมผู้จัดการกองทุนที่เชี่ยวชาญในหลักทรัพย์ทั่วโลกของ ASI มีนโยบายลงทุนในพอร์ตการลงทุนที่ประกอบด้วยหุ้นจำนวน 80-100 หุ้นที่กระจายไปในหลากหลายกลุ่มธุรกิจ และหลายภูมิภาคทั่วโลก โดยมีกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นคัดสรรหุ้นรายตัวจากการพิจารณาปัจจัยพื้นฐาน (Bottom-up) และคำนึงถึงการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน[3] ทีมงานมืออาชีพด้านการลงทุน 120 คนใน 13 สำนักงานร่วมคัดเลือกบริษัทที่มีคุณภาพสูงสุดทั่วโลกกว่า 2,000 บริษัท ด้วยข้อมูลเชิงลึกพร้อมความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในตลาดต่างๆ โดยมีบริษัทที่จะเข้าลงทุนถึง 1,100 บริษัทซึ่งส่วนใหญ่มีแนวโน้มการจ่ายเงินปันผลตอบแทนที่งดงาม
โดยกองทุนหลักมีการกระจายการลงทุนในหลากหลายแนวกลยุทธ์และลงทุนในหุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่า ซึ่งเป็นการลงทุนอย่างสมดุล และทำให้กองทุนหลักได้รับประโยชน์จากแรงขับเคลื่อนการเติบโตแบบวัฏจักรและในเชิงโครงสร้าง
กองทุนหลักมุ่งหวังจะมอบกระแสรายรับจากเงินปันผลแก่ผู้ลงทุนไม่ว่าภาวะตลาดจะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนได้รับโอกาสจากผลตอบแทนในช่วงรอจังหวะลงทุนในภาวะตลาดที่ท้าทาย และได้รับประโยชน์จากการเติบโตของมูลค่าเงินทุนเมื่อตลาดกลับมาฟื้นตัว
นอกเหนือจากการวิเคราะห์ความแข็งแกร่งด้านปัจจัยพื้นฐานของบริษัทแล้ว ทีมผู้จัดการกองทุนยังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการกระจายตัวของแหล่งรายได้ประจำ ด้วยการคัดเลือกหุ้นปันผลทั่วโลกในการลงทุน ทั้งนี้ กองทุนหลักได้ใช้กลยุทธ์การลงทุนระยะยาวในบริษัทที่จ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ ผนวกกับกลยุทธ์การจับจังหวะซื้อขายในระยะสั้นเพื่อหาโอกาสในการรับปันผลจากหุ้นที่จ่ายปันผลพิเศษและสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มผลตอบแทนในพอร์ตลงทุน
ทางกองทุนเปิด ABGDD ยังได้มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงสำหรับนักลงทุนไทย
นายเบ็น ชีฮานน์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านการลงทุน - อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด อินเวสเม้นท์ กล่าวว่า “สำหรับผู้ลงทุนไทยที่แสวงหารายรับแบบสม่ำเสมอ ซึ่งขณะนี้มักมุ่งเน้นลงทุนในพันธบัตร การปรับพอร์ตลงทุนโดยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่จ่ายปันผล จะช่วยให้ผู้ลงทุนได้รับประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยง และเพิ่มศักยภาพที่จะยกระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในการลงทุน และโอกาสในการเพิ่มอัตราผลตอบแทนสำหรับพอร์ตการลงทุนของตนเอง ทั้งนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกได้นำเสนอหุ้นที่จ่ายปันผลจำนวนมากและหลากหลายเพื่อการลงทุน โดยขณะนี้ บริษัทหลายแห่งกำลังปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผล และทยอยซื้อหุ้นคืน สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการให้รางวัลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับภาพรวมการจ่ายเงินปันผล กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนทั้งในหุ้นคุณค่าและในหุ้นเติบโต ครอบคลุมการลงทุนทั้งสองแนวทางในกรณีที่แนวทางใดแนวทางหนึ่งมีการดำเนินการที่ดีกว่า ”
นายโรเบิร์ต เพนนาโลซา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำประเทศไทย - อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด อินเวสเม้นท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ผู้ลงทุนไทยทุกวันนี้ต้องการรายรับจากการลงทุนในหุ้นมากกว่าเดิม เพื่อเก็บไว้ใช้จ่ายในยามเกษียณ ด้วยอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรที่อยู่ในระดับต่ำมาก ทำให้การจัดพอร์ตการลงทุนแบบเดิมที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นร้อยละ 60 และพันธบัตรร้อยละ 40 ไม่สามารถตอบโจทย์ผู้ลงทุนได้อีกต่อไป กองทุนเปิด อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด โกลบอล ไดนามิค ดีวิเด็น ฟันด์ ของเราจึงได้มอบบริการที่แตกต่างอย่างเหนือระดับโดยผสมผสานโอกาสการสร้างรายรับ และการเติบโตของมูลค่าเงินทุนเข้าด้วยกัน ซึ่งมีเป้าหมายจะช่วยให้ผู้ลงทุนไทยคว้าโอกาสสร้างผลตอบแทนในภาวะตลาดขาขึ้น ขณะที่ยังได้รับดอกผลในรูปกระแสเงินสดในช่วงรอให้ตลาดกลับมาฟื้นตัวเมื่ออยู่ในภาวะขาลง”
ชนิดหน่วยลงทุนที่กองทุนเปิด ABGDD นำเสนอแก่ผู้ลงทุนไทยมีทั้งหมด 3 ชนิด เพื่อตอบสนองความต้องการลงทุนที่แตกต่างกัน เริ่มจากหน่วยลงทุนชนิดสะสมมูลค่า (ABGDD-A) ซึ่งมุ่งหวังที่จะนำเงินปันผลไปลงทุนต่อเพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหน่วยลงทุนในระยะยาว ส่วนชนิดที่สอง หน่วยลงทุนชนิดขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ (ABGDD-R) นั้น เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการแสวงหารายรับแบบสม่ำเสมอ และชนิดสุดท้าย คือ กองทุนรวมเพื่อการออมแบบพิเศษ (ABGDD-SSF) ที่จะมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ลงทุน พร้อมกับโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหน่วยลงทุนในระยะยาว ทั้งนี้ หน่วยลงทุนทั้ง 3 ชนิดนี้ได้มีการป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน และลดความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับผู้ลงทุนไทย
ข่าวเด่น