ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวเปิดงานประชุมสามัญประจำปี 2564 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในหัวข้อ”มาตรการช่วยเหลือและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยยุคโควิด” โดยระบุว่า เรียนท่านประธาน ผู้บริหาร สมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและผู้มีเกียรติทุกท่าน

ก่อนอื่น ผมขอขอบคุณสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยที่ให้เกียรติเชิญมาให้มุมมองในเรื่องมาตรการช่วยเหลือและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยยุคโควิด ในงานประชุมสามัญประจำปีของสภาอุตสาหกรรมที่ผมรู้สึกเป็นเกียรติเป็นพิเศษ เพราะสภาอุตสาหกรรมและภาคอุตสาหกรรมเป็นกลไกสำคัญ ที่ทำให้ประเทศไทยมีความเจริญได้อย่างทุกวันนี้ ถ้าย้อนกลับไปช่วงยุคทองของเศรษฐกิจไทย ช่วง 15 ปีก่อนวิกฤตปี 2540 เศรษฐกิจไทยโตเฉลี่ยอยู่ที่ 8% ต่อปี ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตในช่วงนั้น ก็คือ ภาคอุตสาหกรรม ซึ่ง GDP ภาคอุตสาหกรรมโตเกือบ 10% และสัดส่วนการลงทุนต่อ GDP ของประเทศสูงถึง 34% แต่ใน 10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตลดลงมาเฉลี่ยไม่ถึง 3% ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมการเติบโตที่ 2% และสัดส่วนการลงทุนต่อ GDP เหลือไม่ถึง 25% ซึ่งสะท้อนว่ายุคที่เศรษฐกิจไทยเฟื่องฟูเป็นยุคที่ภาคอุตสาหกรรมเข้มแข็ง ช่วยขับเคลื่อนการลงทุนและเศรษฐกิจ รวมถึงความมั่งคั่งของประชาชน ดูได้จากการเติบโตของค่าจ้างในภาคอุตสาหกรรมในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ที่โต 4% เทียบกับค่าเฉลี่ยของภาพรวมของประเทศที่ 2% แต่ก่อนที่เศรษฐกิจจะกลับไปเข้มแข็งได้ จะต้องก้าวผ่านวิกฤตโควิด และปูรากฐานให้ภาคอุตสาหกรรมในยุคหลังโควิดเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
วันนี้ ผมจึงขอแบ่งการบรรยายออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน ส่วนแรก จะเป็นการฉายภาพรวมของผลกระทบต่อธุรกิจและครัวเรือนจากสถานการณ์โควิด ส่วนที่ 2 จะให้มุมมองต่อการดูแลเศรษฐกิจและระบบการเงิน รวมทั้งมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และส่วนที่ 3 จะขอให้มุมมองเกี่ยวกับการปรับตัวของภาคส่วนต่าง ๆ ที่ต้องเร่งทำ ถ้าจะให้ประเทศโตได้อย่างยั่งยืนหลังผ่านปัญหาโควิดไปแล้ว
ส่วนแรก คือ ต้องยอมรับว่าวิกฤตโควิด เป็นวิกฤตที่หนัก ส่งผลกระทบในวงกว้างและแรง ทั้งต่อภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน โดยตัวเลข GDP ติดลบมากที่สุดในรอบ 22 ปี เป็นรองแค่ปี 2541 แต่ตัวเลข GDP ก็อาจยังไม่สะท้อนผลกระทบในวงกว้างที่ภาคธุรกิจและประชาชนต้องเผชิญจากโควิด ซึ่งในรอบนี้ นับได้ว่าเป็นวิกฤตที่ส่งผลกระทบแรงอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ภาคบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว เป็นตัวอย่างหรือจุดที่สะท้อนความรุนแรงของปัญหาที่เราเจอได้ดี ในช่วงก่อนโควิด เราได้เห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติมาประเทศไทยปีละ 40 ล้านคน แต่ล่าสุดปีนี้จนถึงกรกฎาคม มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเพียง 6 หมื่นคน พูดได้ว่า รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปเกือบทั้งหมด และจากผลสำรวจของ ธปท. ในเดือนสิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา พบว่า ผู้ประกอบการโรงแรมถึง 65% จะมีสภาพคล่องในการทำธุรกิจได้ไม่เกิน 3 เดือน ทำให้หลายรายต้องปิดกิจการชั่วคราว และบางส่วนที่สู้ไม่ไหว ต้องประกาศขายกิจการ
และไม่ใช่เพียงภาคบริการที่ถูกกระทบหนัก ภาคการผลิตก็ได้รับผลหนักเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงระลอกแรกที่มีการประกาศ lockdown ที่การผลิตในไตรมาส 2 ปี 2563 ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี และการระบาดระลอกล่าสุด ก็กลับมากระทบการผลิตอีกครั้ง โดยเฉพาะการผลิตเพื่อขายในประเทศ
มิหนำซ้ำการผลิตเพื่อส่งออกก็ถูกกระทบจากปัญหาอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลน semiconductor หรือตู้คอนเทนเนอร์ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น จากการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน เช่น การทำ Bubble and Seal ที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น เห็นได้จากตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 3.5% เทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมาที่ 0.5% ในขณะที่ต้นทุนนี้ ยังส่งผ่านไปยังผู้บริโภคไม่มาก สะท้อนจากราคาฝั่งขายที่ปีนี้เฉลี่ยอยู่เพียง 0.7%
นอกจากภาคธุรกิจที่ถูกกระทบหนักแล้ว ภาคครัวเรือนก็ได้รับผลกระทบหนักเช่นกัน ส่วนแรกที่เห็นชัดเจน คือ การจ้างงาน ที่ถูกกระทบอย่างรุนแรง โดยจากข้อมูลการจ้างงานในไตรมาส 2 ปีนี้ จำนวนผู้ว่างงานและเสมือนว่างงาน (ผู้เสมือนว่างงาน คือ มีงานทำแต่ไม่ถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน) รวมกันอยู่ที่ประมาณ 3.5 ล้านคน เทียบกับแรงงานทั้งหมดที่ 39 ล้านคน ถือเป็นสัดส่วนที่ไม่น้อย สอง
ผู้ว่างงานระยะยาว คือ เกิน 1 ปี อยู่ที่เกือบ 2 แสนคน เพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนโควิดถึงกว่า 3 เท่าตัว นอกจากนี้ เรายังเห็นแรงงานย้ายกลับภูมิลำเนาเดิมจากการถูกเลิกจ้าง โดยล่าสุดในเดือนสิงหาคม มีจำนวน 2 ล้านคน สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ผ่านมา ที่ 5 แสนคน
ส่วนที่สอง ที่อยากพูดถึงคือ ภายใต้ผลกระทบที่หนักและเป็นวงกว้าง บทบาทสำคัญอย่างแรกของ ธปท. คือ ต้องดูแลให้ระบบการเงินและระบบสถาบันการเงินทำงานได้ตามปกติ เพื่อหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจให้ไปต่อได้ เพราะธนาคารพาณิชย์มีบทบาทสำคัญในการให้สินเชื่อแก่ภาคธุรกิจ และไทยก็เป็นประเทศที่พึ่งพาระบบธนาคารพาณิชย์ค่อนข้างสูง เห็นได้จากตัวเลขสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ อยู่ที่ 14 ล้านล้านบาท เทียบกับสินเชื่อที่มาจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือ SFIs ที่ 5 ล้านล้านบาท คิดเป็นเพียงประมาณ 1 ใน 3 ของระบบธนาคารพาณิชย์ และแม้ในช่วงหลัง ภาคเอกชนจะระดมทุนผ่านการออกตราสารหนี้เพิ่มขึ้น แต่ยอดคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนอยู่ที่เพียง 3 ล้านล้านบาท สะท้อนว่าเครื่องยนต์สำคัญที่จะหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจและระบบการเงิน ก็คงหนีไม่พ้นธนาคารพาณิชย์ ซึ่งในภาวะที่มีความเสี่ยงสูงและเศรษฐกิจที่หดตัวนี้ โอกาสที่ธนาคารพาณิชย์จะหุบร่ม หรือไม่ปล่อยสินเชื่อ จะมีสูง ดังนั้น เพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามและแรงไปกว่าเดิม หน้าที่สำคัญของ ธปท. คือ ทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์ทำงานได้ต่อเนื่อง ใกล้เคียงกับภาวะปกติ
แล้วที่ผ่านมา ระบบธนาคาพาณิชย์ทำงานได้ดีแค่ไหน ที่ผ่านมา เราเห็นว่าระบบธนาคารพาณิชย์ยังทำงานได้ดีระดับหนึ่ง ดูได้จาก 3 เหตุผล คือ
(1) สินเชื่อยังโตใกล้เคียงกับก่อนโควิด สะท้อนจากสินเชื่อใหม่ในเดือนกรกฎาคม 2564 ของระบบธนาคารพาณิชย์ ที่โต 4% ใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิดที่ประมาณ 4% เช่นกัน ซึ่งการขยายตัวของ สินเชื่อที่ 4% นี้ คิดเป็นเม็ดเงินสินเชื่อใหม่กว่า 5 แสนล้านบาท
(2) สินเชื่อยังโตได้ดีแม้ในภาวะวิกฤต หากเทียบกับบริบทของเศรษฐกิจในอดีต จะเห็นว่า ปกติสินเชื่อจะขยายตัวสูงในช่วงที่ GDP หรือเศรษฐกิจขยายตัวดี แต่สำหรับปีนี้ที่เศรษฐกิจน่าจะโตไม่ถึง 1% ขณะที่ระบบธนาคารพาณิชย์ยังสามารถให้สินเชื่อใหม่ได้ที่ 4% จึงเป็นสัญญาณว่าระบบยังทำงานได้ดี
และ (3) สินเชื่อของไทยยังโตได้มากกว่าประเทศในภูมิภาค แม้ไทยถูกกระทบจากโควิดหนักที่สุดและฟื้นช้ากว่าประเทศอื่น เห็นได้จาก สินเชื่อของไทยที่โต 4% ขณะที่อินโดนีเซียหดตัว 1.7% ฟิลิปปินส์หดตัว 0.9% และสิงคโปร์ขยายตัว 1.4% โดยมีเพียงมาเลเซีย ที่มีอัตราขยายตัวใกล้เคียงกับไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นสัญญาณที่สะท้อนว่า ระบบธนาคารพาณิชย์ยังไม่หุบร่ม ซึ่งถือว่าประสบผลสำเร็จระดับหนึ่ง

นอกจากเรื่องสินเชื่อใหม่ ยังมีเรื่องการดูแลภาระหนี้เดิม ซึ่งธนาคารพาณิชย์ได้ให้ความช่วยเหลือ ลูกหนี้ภายใต้มาตรการต่าง ๆ ของ ธปท. มาต่อเนื่อง โดยลูกหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือภายใต้มาตรการ เพิ่มขึ้นไปสูงสุด ณ เดือนกรกฎาคม 2563 กว่า 6 ล้านบัญชี เป็นยอดหนี้กว่า 4 ล้านล้านบาท ซึ่งถ้าเทียบกับสินเชื่อทั้งหมดในระบบธนาคารพาณิชย์ที่ 14 ล้านล้านบาท ถือว่าเป็นสัดส่วนไม่น้อย และในปัจจุบันจำนวนลูกหนี้ทั้งหมดภายใต้มาตรการมีอยู่เกือบ 3 ล้านบัญชี
แต่หากเทียบกับปัญหาที่รุนแรงและสะสมมานานจากวิกฤตครั้งนี้ การปล่อยสินเชื่อและช่วยเหลือลูกหนี้โดยกลไกปกติของธนาคารพาณิชย์ แม้จะทำมาได้ดี แต่ก็ยังไม่เพียงพอและไม่ทั่วถึงเท่าที่ควร ที่ผ่านมา เราจึงไม่ได้พึ่งพากลไกตลาดเพียงอย่างเดียว แต่มีบทบาทของภาครัฐเข้าไปเสริม หรือไปอุดในบางจุดที่ระบบธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถทำหน้าที่ได้เต็มที่ เพื่อเพิ่มความช่วยเหลือให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเราได้ดำเนินนโยบายแบบ countercyclical ที่ในช่วงเศรษฐกิจซบเซา ต้องเป็นนโยบายที่ผ่อนปรนเกณฑ์ต่าง ๆ ให้เหมาะกับบริบทที่กำลังเผชิญในปัจจุบัน เพื่อลดโอกาสที่ธนาคารพาณิชย์จะหุบร่ม รวมทั้งดูแลสภาพคล่องในระบบการเงินและภาวะการเงินให้ผ่อนคลายต่อเนื่อง ไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งได้ปรับลด FIDF fee ให้กับสถาบันการเงิน เพื่อส่งผ่านต้นทุนที่ลดลงนี้ไปช่วยลดภาระต่อให้ลูกหนี้ โดยเราเห็นอัตราดอกเบี้ยในตลาด เช่น m-rates ลดลงประมาณ 0.5-0.7% เทียบกับก่อนโควิด ซึ่งช่วยลดภาระหนี้ของภาคธุรกิจและประชาชนได้
นอกจากนี้ จุดที่ระบบธนาคารพาณิชย์ยังทำหน้าที่ได้ไม่ดีเท่าที่ควร คือ การช่วยเหลือ SMEs ซึ่งสำหรับสินเชื่อใหม่ ถูกเสริมด้วยการออกมาตรการเฉพาะ เช่น พ.ร.ก. สินเชื่อฟื้นฟูฯ เพื่อให้ระบบธนาคารพาณิชย์ให้ความช่วยเหลือ SMEs ได้มากขึ้น โดยใช้การค้ำประกันผ่าน บสย. มาช่วยลดความเสี่ยงได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งแม้จะยังไม่เพียงพอ แต่อย่างน้อย เริ่มเห็นสินเชื่อ SMEs ขยายตัวกลับมาเป็นบวกได้ จากเดิมที่ติดลบมาตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด โดยล่าสุดในเดือนกรกฎาคม สินเชื่อ SMEs ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1% ซึ่งหากไม่มีผลของมาตรการดังกล่าว สินเชื่อ SMEs จะยังติดลบที่ 1%
นอกจากนี้ ภาครัฐยังใช้กลไก SFIs มาเสริมในการสนับสนุนสภาพคล่องให้กับระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ SMEs โดยสินเชื่อ SFIs ขยายตัวกว่า 4% ซึ่งมีทั้งโครงการที่ดำเนินการตามมติ ครม. รวมถึงโครงการที่ SFIs ดำเนินการเองที่ปล่อยเม็ดเงินไปแล้วอีกกว่า 3 แสนล้านบาท ตั้งแต่ช่วงเกิดสถานการณ์โควิดเป็นต้นมา
และในจุดที่มาตรการ ธปท. ไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เราก็ได้ปรับวิธีการ engage เพิ่มเติม ด้วยการเข้าไปรับฟังความเห็นจากผู้ประกอบธุรกิจผ่านสมาคมต่าง ๆ รวมถึงสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยด้วย อีกทั้งยังเป็นตัวกลางในการประสานความช่วยเหลือระหว่างภาคธุรกิจและธนาคารพาณิชย์ในการสนับสนุนสินเชื่อฟื้นฟู และประสานกับ SFIs ในส่วนของสินเชื่อโครงการรัฐ เช่น Lineman X Wongnai กับธนาคารออมสิน เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องธุรกิจร้านอาหารและกลุ่มไรเดอร์ที่ได้รับผลกระทบ และในระยะต่อไป จะขยายความช่วยเหลือไปยังผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบในธุรกิจอื่น ๆ
ที่เราดำเนินการไปทั้งหมดนี้ ไม่ได้หมายความว่า เราทำพอแล้ว ธปท. ไม่ได้นิ่งนอนใจ และพร้อมจะออกหรือปรับมาตรการเพิ่มเติมตามความจำเป็น ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน คือ พ.ร.ก. Soft loan ที่ ธปท. และภาครัฐได้เร่งออกมาเพื่อแก้ปัญหาในช่วงระบาดระลอกแรก แต่เมื่อพบข้อจำกัด จึงได้ออกมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูเพิ่มเติม ซึ่งสามารถให้สภาพคล่องแก่ธุรกิจ SMEs ได้เกิน 100,000 ล้านบาท ภายใน 4 เดือน เร็วกว่าที่ตั้งเป้าไว้ที่ 6 เดือน และแม้จะเป็นไปตามเป้าแล้ว ล่าสุด เรายังได้ปรับเงื่อนไขเพิ่มเติมเพื่อสอดรับกับบริบทที่เจออยู่ เช่น ปรับรูปแบบการค้ำประกัน เพื่อให้สินเชื่อไปถึงกลุ่มเสี่ยงมากยิ่งขึ้น และลดโอกาสที่กลุ่มนี้จะเข้าไม่ถึงสินเชื่อ
นอกจากปรับเรื่องสินเชื่อใหม่ มาตรการดูแลหนี้เดิมก็มีออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจที่แตกต่างกันและยืดเยื้อ ทำให้มาตรการลักษณะที่เป็นการพักหนี้หรือปรับโครงสร้างหนี้ระยะสั้น ๆ ไม่ตอบโจทย์และไม่เอื้อให้เกิดการปรับตัว ดังนั้น ธปท. จึงได้ออกมาตรการแก้หนี้ระยะยาว 3 กันยายน เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ช่วยเหลือลูกหนี้ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาวให้เหมาะกับปัญหา โดยให้ลูกหนี้จ่ายหนี้ให้สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลงมากในช่วงนี้ และช่วยเหลือเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากการขยายเวลาชำระหนี้ รวมทั้งต้องเร่งช่วยลูกหนี้ให้ได้จำนวนมากและเร็ว โดย ธปท. จะติดตามดูแลการช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์อย่างใกล้ชิด
ท้ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือจากกลไกของระบบธนาคารพาณิชย์ กลไก SFIs และกลไกเสริมจาก ธปท. ก็คงยังจะมีคำถามจากหลายท่านในที่นี้ว่า เมื่อรวมกันทั้งหมดแล้ว มีเพียงพอ ทั่วถึงทุกคน หรือช่วยเท่าที่ทุกคนต้องการแล้วหรือไม่ ซึ่งต้องยอมรับว่า ไม่ได้ทั้งหมด ด้วยวิกฤตที่หนัก กว้าง และรุนแรง
ข่าวเด่น