บอร์ด B52 ไฟเขียวแผนปรับโครงสร้างทุน รวบพาร์-ลดทุน พร้อมล้างขาดทุนสะสมเกือบหมด! ผู้บริหารระบุไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น เหตุเป็นการปรับปรุงตัวเลขทางบัญชีเท่านั้น มั่นใจส่งผลดีต่อทุกฝ่าย ที่สำคัญมีโอกาสสูงที่จะได้รับการปลดล็อกเครื่องหมาย C ในอนาคตอันใกล้ ขณะเดียวกันตัวเบาพร้อมลุยธุรกิจเพื่ออนาคตสดใสเต็มสตีม
นางสาวนราวดี วรวณิชชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี-52 แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (B52) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯครั้งที่ 9/2564 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมามีมติอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 2/2564 เพื่อพิจารณาโอนทุนสำรองตามกฎหมายจำนวน จำนวน 8,297,905 บาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมของบริษัทฯ ตามงบแสดงฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ที่ผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีของบริษัทฯ สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 จำนวน 888,508,872 บาท ซึ่งภายหลังการโอนทุนสำรองตามกฎหมายจำนวน 8,297,905 บาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมของบริษัทฯ แล้ว จะทำให้บริษัทฯ มีผลขาดทุนสะสมตามงบแสดงฐานะทางการเงินเฉพาะกิจการ เหลือจำนวน 880,210,967 บาท
นอกจากนี้ ยังมีมติอนุมัติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นของบริษัทฯ โดยการรวมมูลค่าที่ตราไว้ จากเดิมที่มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เป็นมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2.00 บาท ซึ่งส่งผลให้จำนวนหุ้นของบริษัทฯ ลดลงจำนวน 2,404,798,095 หุ้น จากเดิม 3,206,397,460 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เป็นจำนวน 801,599,365 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2.00 บาท ซึ่งการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นของบริษัทฯ ดังกล่าวจะเป็นผลให้จำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ลดลงในอัตราส่วน 4 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่
พร้อมกันนี้ ให้เสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการลดทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จำนวน 1,202,399,047.50 บาท จากทุนจดทะเบียนจำนวน 1,603,198,730 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 400,799,682.50 บาท และลดทุนจดทะเบียนชำระแล้วลงจำนวน 974,171,260.50 บาท จากทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวน 1,310,895,013.50 บาท เป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวน 327,723,753 บาท ตามลำดับโดยการลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ของบริษัทฯ จากเดิมมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2.00 บาท เป็นมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท (จำนวนหุ้นคงเดิมเท่ากับ 655,447,506 หุ้น) เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมของบริษัทฯ ที่คงเหลืออยู่จำนวน 880,210,967 บาท และส่วนต่ำมูลค่าหุ้น ที่ปรากฏในงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ สำหรับงวดไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 ปรากฏมีส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นจำนวน 170,989,992 บาท
การลดทุนจดทะเบียนและลดทุนจดทะเบียนชำระแล้วตามที่กล่าวแล้วข้างต้น จะทำให้เกิดส่วนเกินทุนจากการลดทุน (ทุนสำรองอื่น) จำนวน 974,171,260.50 บาท เพื่อบริษัทสามารถนำส่วนเกินทุนจากการลดทุนดังกล่าวมาชดเชยผลขาดทุนสะสมที่เหลืออยู่จำนวน 880,210,967 บาท และส่วนต่ำมูลค่าหุ้น จำนวน 170,989,992 บาท ได้ตามมาตรา 119 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ได้
"การลดทุนโดยการลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ดังกล่าว จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อมูลค่าของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท โดยส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด การลดทุนดังกล่าวเป็นการปรับปรุงตัวเลขทางบัญชีเพื่อการชดเชยผลขาดทุนสะสมทางบัญชีเท่านั้น การจดทะเบียนลดทุนจดทะเบียนและทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ โดยการลดพาร์ จาก 2.00 บาท เป็น 0.50 บาท จะเกิดขึ้นภายหลังการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นและจำนวนหุ้นของบริษัท โดยการรวมพาร์ จาก 0.50 บาท เป็น 2.00 บาท กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว"
บริษัทฯ ได้กำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2564 ในวันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 เวลา 10.00 น. โดยวิธีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Meeting) โดยจะทำการถ่ายทอดสดการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Meeting) จากห้องประชุมของบริษัท ชั้น 7 อาคารเพรสิเด้นท์ ทาวเวอร์ เลขที่ 973 ถนนเพลินจิตแขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุม (Record Date) ในวันที่ 18 ตุลาคม 2564
“แผนการปรับโครงสร้างทุน ผ่านการ รวบพาร์และลดทุน เพื่อนำเงินส่วนเกินทุนจากการลดทุนมาล้างขาดทุนสะสมในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในแนวทางแก้ไขกรณีที่หลักทรัพย์ของบริษัทฯถูกขึ้นเครื่องหมาย C เนื่องจากส่วนผู้ถือหุ้นน้อยกว่า 50% ของทุนชำระแล้ว เมื่อปรับปรุงตัวเลขทางบัญชีครั้งนี้เรียบร้อยแล้วมีโอกาสที่ B52 จะได้รับการอนุมัติให้ซื้อขายตามปกติในอนาคตอันใกล้ ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีความพร้อมอย่างยิ่งในการเดินหน้าขยายธุรกิจ ทั้งที่เติบโตด้วยตนเองและที่ร่วมกับพันธมิตรตามแผนงานที่วางไว้ และมีโอกาสจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นเมื่อมีกำไรสุทธิและกระแสเงินสดที่เพียงพอ ซึ่งตามนโยบายของบริษัทฯ กำหนดจ่ายในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ”นางสาวนราวดี กล่าวในที่สุด
ข่าวเด่น