เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
EIC ประเมิน ส่งออก ก.ย.64 ฟื้นตัวดีขึ้น แต่ ''เงินเฟ้อ'' เร่งตัวขึ้น เป็นปัจจัยกดดันต้องจับตามอง


* มูลค่าการส่งออกเดือนกันยายน ขยายตัว 17.1%YOY ขยายตัวต่อเนื่องในทุกสินค้าและตลาดสำคัญ ยกเว้นตลาดออสเตรเลียที่หดตัวเล็กน้อยจากทองคำ โดยหากเทียบกับเดือนก่อนหน้าแบบปรับฤดูกาล การส่งออกขยายตัวที่ 4.2%MoM_sa ตามสถานการณ์การระบาด COVID-19 ของโลกที่ปรับดีขึ้นชัดเจนในช่วงเดือนก.ย. ส่งผลให้อุปสงค์มีการฟื้นตัว อีกทั้ง ผลกระทบจากการหยุดผลิตที่เกิดจากการระบาด COVID-19 ก็ปรับดีขึ้นเช่นกัน


* แม้การส่งออกจะฟื้นตัวจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ปรับดีขึ้น แต่จะยังเผชิญกับปัจจัยกดดันใหม่ในช่วงที่เหลือของปีจากการปรับขึ้นของราคาพลังงานที่นำไปสู่การเร่งขึ้นของอัตรา เงินเฟ้อทั่วโลก ซึ่งอาจส่งผลทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะในประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าพลังงานปรับชะลอลงในระยะสั้น โดยคาดว่าสถานการณ์จะค่อย ๆ ปรับดีขึ้น ในระยะข้างหน้า นอกจากนี้ ยังต้องจับตาเศรษฐกิจจีนที่มีความเสี่ยงจากวิกฤตพลังงานและภาค

อสังหาริมทรัพย์จากกรณี Evergrande ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทย ไปจีนในช่วงที่เหลือของปีได้
* EIC ยังคงคาดการณ์การส่งออกของไทยในปี 2021 ที่ 15%YOY เนื่องจากข้อมูลการส่งออกล่าสุดยังสอดคล้องกับคาดการณ์เดิมที่มองไว้ว่าการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีจะฟื้นตัว จากช่วงเดือนกรกฏาคม-สิงหาคมที่เป็นช่วงที่มีการระบาดหนักของสายพันธุ์เดลตาทั่วโลก แต่ระดับจะไม่ได้สูงเทียบเท่ากับในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ในส่วนของปี 2022 การส่งออกไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องที่ 4.7% ตามเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ทั้งนี้การส่งออกไปยังประเทศกำลังพัฒนา จะมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปีหน้าตามการเร่งตัวของเศรษฐกิจที่จะได้ผลดีจากความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้น

Key points

มูลค่าการส่งออกเดือนกันยายน 2021 ขยายตัว 17.1%YOY ขยายตัวเร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 8.9%YOY โดยหากหักทองคำ การส่งออกจะขยายตัวที่ 18.9%YOY ทำให้ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2021 มูลค่าการส่งออกขยายตัวที่ 15.5%YOY

ด้านการส่งออกรายสินค้าพบว่าการส่งออกสินค้ายังขยายตัวแบบ %YOY ต่อเนื่อง

* น้ำมันสำเร็จรูปขยายตัวถึง 114.4%YOY ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน ตามความต้องการใช้พลังงานและราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง โดยขยายตัวในทุกตลาดสำคัญ เช่น กัมพูชา (87.73%YOY), มาเลเซีย (284.7%YOY), สิงคโปร์ (186.5%YOY) และฟิลิปปินส์ (913.3%YOY) เป็นต้น
 
* คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบขยายตัว 22.6%YOY ขยายตัวต่อเนื่อง 10 เดือนติดต่อกัน โดยการขยายตัว
ของตลาดสหรัฐฯ (18.5%YOY), ฮ่องกง (33.2%YOY), จีน (27.7%YOY) และมาเลเซีย (132.9%YOY) เป็นตลาดหนุนสำคัญ ในขณะที่เนเธอร์แลนด์ (-16%) เป็นตลาดฉุดที่สำคัญ
 
* การส่งออกเคมีภัณฑ์ขยายตัวที่ 55.8%YOY ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 โดยในเดือนนี้ขยายตัวในทุกตลาดสำคัญ เช่น จีน (75.9%YOY), ญี่ปุ่น (48%YOY) และอินเดีย (115.7%YOY) เป็นต้น ยกเว้นเวียดนามที่หดตัว
(-30.1%YOY)
 
* เม็ดพลาสติกขยายตัว 40.3%YOY ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 โดยในเดือนนี้ขยายตัวในทุกตลาดสำคัญ
เช่น จีน (14.1%YOY), อินเดีย (75.3%YOY) และอินโดนีเซีย (81.1%YOY) เป็นต้น

* ยางพาราขยายตัว 83.6%YOY ขยายตัวต่อเนื่อง 12 เดือน โดยในเดือนนี้ขยายตัวในทุกตลาดสำคัญ เช่น จีน (125.6%YOY), สหรัฐฯ (249%YOY) และอินเดีย (231.7%YOY) เป็นต้น
 
* เครื่องจักรกลและส่วนประกอบขยายตัว 32.8%YOY ขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือน โดยในเดือนนี้ขยายตัวในทุกตลาดสำคัญ เช่น สหรัฐฯ (28.6%YOY) และจีน (98.1%YOY), เป็นต้น ยกเว้นอินเดีย (-6.8%YOY)

* ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้งพลิกกลับมาหดตัว -22%YOY โดยเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 6 เดือน จากการส่งออกไปตลาดจีนที่หดตัว -15.2%YOY ซึ่งการส่งออกผลไม้ฯ ไปจีนนั้นคิดเป็น 83.4% ของการส่งออกผลไม้ฯ ทั้งหมดของไทย
 
* รถยนต์และส่วนประกอบขยายตัว 4.9%YOY ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัว 17.8%YOY ทั้งนี้แม้อัตราเติบโตแบบ %YOY จะชะลอลง แต่หากพิจารณาแบบเทียบกับเดือนก่อนหน้าแบบปรับฤดูกาล พบว่าการส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้น 4.5%MOM_sa หลังจากหดตัวในช่วงสองเดือนก่อนหน้า สะท้อนสัญญาณการฟื้นตัวที่ปรับดีขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจโลก
 
ด้านการส่งออกรายตลาด พบว่าขยายตัวในทุกตลาดสำคัญ ยกเว้นตลาดออสเตรเลียที่ยังคงหดตัวเล็กน้อยจากทองคำ

* การส่งออกไปอินเดียยังคงขยายตัวในระดับสูงที่ 76.1%YOY ซึ่งเป็นการขยายตัว 8 เดือนต่อเนื่อง โดยในเดือนนี้ขยายตัวหรือทรงตัวในทุกสินค้าหลัก เช่น ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ (426.4%YOY), เม็ดพลาสติก (75.3%YOY) และเคมีภัณฑ์ (115.7%YOY) เป็นต้น
 
* การส่งออกไปจีนขยายตัวที่ 23.3%YOY โดยมีปัจจัยหนุนที่สำคัญ เช่น เม็ดพลาสติก (14.1%YOY), ผลิตภัณฑ์ มันสำปะหลัง (52.2%YOY), เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ (27.7%YOY) และเคมีภัณฑ์ (75.9%YOY) เป็นต้น ทั้งนี้ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้งที่หดตัว -15.2%YOY พลิกจากการเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญที่สุดในช่วงที่ผ่านมาเป็นปัจจัยฉุดในเดือนนี้
 
* การส่งออกไป CLMV พลิกกลับมาขยายตัวที่ 8.2%YOY หลังจากที่ทรงตัวในเดือนก่อนหน้าที่ -0.03%YOY
เมื่อพิจารณารายกลุ่มประเทศแล้วพบว่า การส่งออกไปกัมพูชา ลาว และเมียนมาขยายตัว 48.9%YOY, 19.8%YOY, และ 48.9%YOY ตามลำดับ ในขณะที่การส่งออกไปเวียดนามหดตัว -23.3%YOY ซึ่งเป็นผลจากการระบาด COVID-19 หนักในเวียดนาม ทั้งนี้การส่งออกไปเมียนมาพลิกกลับมาขยายตัวจากสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลที่ขยายตัวมากถึง 7,308.7%YOY
 
* การส่งออกไปฮ่องกงพลิกกลับมาขยายตัว 14.6%YOY หลังจากที่หดตัว -9.5%YOY ในเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยหนุนที่สำคัญจาก เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ (33.2%YOY), แผงวงจรไฟฟ้า (16.3%YOY), อัญมณีและเครื่องประดับ (21.7%YOY) โดยเฉพาะทอง, เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (1,124.6%YOY) ทั้งนี้เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (-44.4%YOY) ยังคงเป็นปัจจัยฉุดที่สำคัญต่อเนื่อง
 
* การส่งออกไปออสเตรเลียหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่สี่ที่ -0.6%YOY ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ -23.1%YOY โดยสินค้าส่งออกหลักที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ (-14.2%YOY) และทองคำ (-100%YOY) ซึ่งการส่งออกทองคำไปออสเตรเลียหดตัวในระดับสูงเกิน 90%YOY เป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกัน
 
 
 
 
ด้านมูลค่านำเข้าในเดือนกันยายน 2021 ขยายตัว 30.3%YOY ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 47.9%YOY
โดยเป็นการขยายตัวในทุกหมวดนำเข้าสำคัญ ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง (43.9%YOY) ที่ขยายตัวจากทั้งฐานต่ำและราคา
ที่ปรับเพิ่มขึ้นสูงเมื่อเทียบกับปีก่อน, สินค้าทุน (16.1%YOY), สินค้าอุปโภคบริโภค (22.2%YOY) และยานพาหนะ
และอุปกรณ์การขนส่ง (16.2%YOY) ขณะที่การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปขยายตัวเช่นกันที่ 44.6%YOY
และหากหักทองคำจะขยายตัวที่ 43.6%YOY ทั้งนี้ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2021 การนำเข้าขยายตัวที่ 30.9%YOY
 
ในส่วนของดุลการค้าเดือนกันยายนเกินดุลที่ 609.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากรวม 3 ไตรมาสแรกของปี 2021 จะเกินดุลที่ 2,016.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Implication

การส่งออกเดือนกันยายนฟื้นตัวจากช่วงก่อนหน้าตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโลกที่ปรับดีขึ้น
 
โดยการส่งออกในช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมปรับลดลงชัดเจนจากผลกระทบของการระบาดสายพันธุ์เดลตาทั่วโลก แต่สถานการณ์ระบาดได้ปรับดีขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นมา จึงทำให้เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว และส่งผลดีต่อภาคส่งออกของไทย ทำให้มูลค่าการส่งออกไม่รวมทองคำของไทยปรับเพิ่ม 4.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าแบบปรับฤดูกาล (mom_sa) สอดคล้องกับดัชนี Global Manufacuturing PMI Export Orders และ Manufacturing PMI ในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (EM) และอาเซียนที่ฟื้นตัวจากช่วงก่อนหน้า ขณะที่ Manufacturing PMI ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วยังปรับชะลอลงแต่ก็ยังอยู่เหนือระดับ 50 อยู่มาก
 
 

อย่างไรก็ดี แม้การส่งออกจะมีทิศทางฟื้นตัวจาก COVID-19 แต่จะยังเผชิญกับปัจจัยกดดันใหม่ด้านการขาดแคลนพลังงานของโลกที่นำไปสู่อัตราเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้น โดยสถานการณ์การขาดแคลนพลังงานของโลกในปัจจุบันเกิดมาจาก 4 ปัจจัยหลัก (รูปที่ 5) ได้แก่ 1) COVID-19 ที่กระทบต่อการผลิตพลังงานในช่วงก่อนหน้า ทำให้อุปทานปรับลดลง ในขณะที่ช่วงปัจจุบันเศรษฐกิจฟื้นตัว ทำให้อุปสงค์ปรับเพิ่มมากขึ้น จึงเกิด การขาดแคลนพลังงาน 2) สภาพอากาศที่แปรปรวนกระทบต่อการผลิตพลังงานหลายประเภท เช่น ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน อีกทั้ง หน้าหนาวที่กำลังมาถึง ก็จะเป็นปัจจัยเร่งความต้องการใช้พลังงานเพื่อสร้างความอบอุ่น 3) ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ เช่น กรณีการส่งก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียเข้ายุโรปที่มีความไม่แน่นอนว่าจะเพียงพอหรือไม่ และความขัดแย้งระหว่างจีนและออสเตรเลียเรื่องถ่านหิน และ 4) การกำลังเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานสะอาด (Energy Transition) ที่ทำให้การลงทุนผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลปรับลดหรือชะลอลง ขณะที่พลังงานสะอาดก็ยังไม่สามารถทดแทนได้เต็มที่ จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะการขาดแคลนพลังงานของโลกในปัจจุบัน โดยการขาดแคลนที่เกิดขึ้นได้ทำให้ราคาพลังงานหลายประเภทปรับสูงขึ้นอย่างมาก และนำมาซึ่งความกังวลด้านเงินเฟ้อและภาวะ stagflation (ภาวะที่เศรษฐกิจโตต่ำหรือหดตัว ขณะที่เงินเฟ้อเร่งตัวสูง) ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ของหลายฝ่ายคาดว่าปัญหาที่เกิดขึ้น จะเป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้น ขณะที่เศรษฐกิจโลก แม้จะชะลอลงบ้างในระยะสั้นตามกำลังซื้อที่ได้รับผลกระทบ จากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีจากการฟื้นตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจตามความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน ดังนั้น ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ stagflation จึงยังมีไม่มากนัก
 

นอกจากนี้ ยังต้องจับตาเศรษฐกิจจีนที่มีความเสี่ยงจากวิกฤตพลังงานและภาคอสังหาริมทรัพย์จากกรณี Evergrande ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทยไปจีนอีกด้วย ขณะที่ปัจจัยกดดันภาคส่งออกไทยในด้านอื่น ๆ ได้แก่ ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) ที่ยืดเยื้อ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่ทำให้ค่าระวางเรือและระยะเวลาการส่งมอบสินค้าอยู่ในระดับสูงกว่าปกติมาก

แม้การส่งออกไทยยังมีปัจจัยกดดันหลายประการในช่วงที่เหลือของปี 2021 แต่ EIC ยังคงคาดการณ์ที่ 15%YOY (ตัวเลขการส่งออกในระบบดุลการชำระเงิน) เนื่องจากข้อมูลการส่งออกล่าสุดยังสอดคล้องกับคาดการณ์เดิมที่มองไว้ว่าการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีจะฟื้นตัวจากช่วงเดือนกรกฏาคม-สิงหาคมที่เป็นช่วงที่มีการระบาดหนักของสายพันธุ์เดลตาทั่วโลก แต่ระดับจะไม่ได้สูงเทียบเท่ากับในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ในส่วนของปี 2022 การส่งออกไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องที่ 4.7% ตามเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ทั้งนี้การส่งออกไปยังประเทศกำลังพัฒนา จะมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปีหน้าตามการเร่งตัวของเศรษฐกิจที่จะได้ผลดีจากความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้น
 
 
บทวิเคราะห์จากเว็บไซต์ EIC https://www.scbeic.com/th/detail/product/7892   

ท่านผู้นำเสนอบทวิเคราะห์
 

พนันดร อรุณีนิรมาน,นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส, Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
 

วิชาญ กุลาตี, นักวิเคราะห์, Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

EIC Online: www.scbeic.com

Line : @scbeic

LastUpdate 27/10/2564 11:17:15 โดย : Admin
09-05-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ May 9, 2025, 7:47 am