จากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2562 ต่อเนื่องมาจนถึงขณะนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคค่อนข้างมาก ซึ่งจากผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าวทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าที่เฉพาะจำเป็นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เลยทำให้หลายธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างหนัก หนึ่งในนั้น คือ “ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก”
แม้ว่าปี 2563 ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กจะมีความคึกคัก ด้วยการขยับยอดขายขึ้นมาเติบโตที่ประมาณ 20% เพิ่มขึ้นจากปกติที่เติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 7% หลังจาก หม้อทอดไร้น้ำมัน ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับเครื่องปั่น และหม้อหุงข้าว แต่จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ลากยาว ประกอบกับมาตรการล็อคดาวน์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้บริโภคเริ่มระมัดระวังในด้านของการจับจ่าย โดยเฉพาะผู้บริโภคในตลาดระดับกลางและล่าง ทำให้กลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กที่มุ่งเน้นทำตลาดกลุ่มลูกค้าดังกล่าวได้รับผลกระทบไปแบบเต็มๆ
ผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กต้องปรับแผนรุก ด้วยการหันมาพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เพื่อเจาะกลุ่มลุกค้าในตลาดระดับบนชดเชยการทำตลาดกลุ่มลูกค้าในตลาดระดับกลางและล่าง เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายตลาดระดับบนยังมีกำลังซื้อที่ดี
น.ส.พนิดา เจนนันทขจร ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาด เครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก บริษัท พานาโซนิค เอ.พี. เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หลังจากมีสถานการณ์โควิด-19 ที่ลากยาว ทำให้ผู้บริโภคมีความต้องการสินค้าราคาถูกลงกว่าเดิม โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคในตลาดระดับกลางและล่าง ส่วนผู้บริโภคในตลาระดับบนก็หันมาให้ความสำคัญกับปัจจัยความคุ้มค่า และฟังก์ชั่นการใช้งานที่เน้นไปในด้านของสุขภาพ
เพราะเหตุนี้ ผู้ประกอบการจึงต้องมีการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เข้ามาทำตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ควบคู่ไปกับการทำโปรโมชั่น เพื่อดึงความสนใจผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ขณะเดียวกัน ก็ต้องให้ความสำคัญการทำตลาดในช่องทางออนไลน์หรืออีคอมเมิร์ซ เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น
น.ส.พนิดา กล่าวต่อว่า จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กลดลงไปประมาณ 4% เมื่อเทียบกับปี 2563 ซึ่งจากผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้เป็นเรื่องยากมาก ที่ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กจะกลับมาดีดตัวเติบโตเท่ากับปี 2563 สำหรับสินค้าที่บริษัทจะนำเข้ามาทำตลาดในช่งปลายปีนี้ จะเน้นไปที่กลุ่มบิวตี้ที่มีระดับราคาประมาณ 3,000 - 6,000 บาท ควบคู่ไปกับการตรึงราคาสินค้า และจัดโปรโมชั่น เพื่อกระตุ้นความสนใจผู้บริโภค
ด้าน บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด ขอตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านชิ้นเล็ก ด้วยการนำร่องส่ง “หม้อหุงข้าวดิจิตอล” เข้าทำตลาด ด้วยการจับมือร่วมกับแบรนด์ “ข้าวหงษ์ทอง” ในการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายภายใต้แคมเปญ “Perfect Combination…ข้าวที่ชอบ หม้อที่ใช่ เพื่อมื้อที่อร่อยที่สุด” เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์ข้าวหอมมะลิต้นฤดู 100% ในรูปแบบ Limited edition ที่หุงจากหม้อหุงข้าวที่มีกระบวนพิถีพิถันในการหุง เพื่อส่งมอบข้าวมื้อที่อร่อยที่สุดให้กับผู้บริโภค
นอกจากนี้ ยังได้มีการเปิดตัวแคมเปญส่งท้ายปี “คิดถึงของขวัญ คิดถึงโตชิบา” เพื่อต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ด้วยการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กเป็นตัวแทนความรัก ความห่วงใย ที่จะส่งมอบความรักให้กันและกัน ผ่าน เครื่องฟอกอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น และกระติกน้ำร้อน เป็นต้น ซึ่งหลังจากออกมาทำการตลาดในรูปแบบดังกล่าว แบรนด์โตชิบามั่นใจว่าจะได้ผลการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
ขณะเดียวกัน ในส่วนของแบรนด์สมาร์ทโฮม ก็ออกมาประกาศปรับกลยุทธ์ ด้วยการเพิ่มแบรนด์สมาร์ทโฮม บียอนด์ ที่เน้นดีไซน์เรียบหรูและมีเทคโนโลยี-นวัตกรรมเข้ามาเสริม เช่น หม้อลดน้ำตาลแบบดิจิทัล และเตาอบไอน้ำ ที่มีระดับราคาประมาณ 1,000-3,000 บาท เข้าทำตลาด เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้
นายธวัช มานะวงศ์ กรรมการบริหาร บริษัท สเต็ป ฟอร์เวิร์ด กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิต นำเข้า และจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ “สมาร์ทโฮม” (Smart Home) กล่าวว่า ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กที่มีระดับราคาต่ำกว่า 2,000 บาท ค่อนข้างสาหัส เนื่องจากผู้บริโภคมีการชะลอกำลังซื้อมาตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งจากผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้ตลาดค่อนข้างมีปัญหา เนื่องจากคู่ค้าบางรายเริ่มขอยืดเครดิตเทอมเพิ่มอีก 14-30 วัน ภายหลังมียอดขายลดลงไปกว่า 50% ส่วนยอดขายในช่องทางออนไลน์ก็ยังคงทรงตัว ต่างจากปี 2563 ที่ยอดขายเพิ่มขึ้นเมื่อมีการล็อกดาวน์ อย่างไรก็ดี หลังจากบริษัทมีการปรับแผนการทำตลาด บริษัทมั่นใจว่าน่าจะปิดยอดขายได้ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ประมาณ 800 ล้านบาท
นายประดิษฐ์ สุตังคานุ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาด บริษัท กรุงไทยการไฟฟ้า จำกัด ผู้บริหารเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ชาร์ป กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าค่อนข้างได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคระดับบีบวกลงมา มีการปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ภายหลังโรคโควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดอย่างหนักอีกครั้ง ส่งผลให้หลายพื้นที่มีการล็อคดาวน์ ผู้บริโภคขาดรายได้ มีหนี้สินเพิ่มขึ้น วงเงินบัตรเครดิตใกล้จะเต็มหรือเต็มแล้ว ทำให้ไม่สามารถผ่อนสินค้าได้ เพราะต้องนำเงินมาชำระหนี้บางส่วนก่อน
แม้ว่ายอดขายในบางสินค้าจะมีการปรับตัวลดลง เช่นเดียวกับยอดขายในช่องทางออฟไลน์ แต่ในด้านของช่องทางออนไลน์ในบางกลุ่มสินค้ายังมีการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ โดย นายจักรกฤษณ์ กีรติโชคชัยกุล Chief Executive Officer-TR บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ผู้บริหารศูนย์ค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้า “เพาเวอร์ มอลล์” กล่าวว่า ในช่วงล็อกดาวน์ที่ผ่านมา ยอดขายของร้าน “เพาเวอร์ มอลล์” ในช่องทางออนไลน์มีอัตราการเติบโตมากกว่า 100% แต่อย่างไรก็ดี ลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงมีความต้องการที่จะสัมผัสสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ ทำให้บริษัทต้องมีการผสมผสานการทำตลาดระหว่างช่องทางออนไลน์และออฟไลน์(ออมนิชาแนล)
ข่าวเด่น