การตลาด
สกู๊ป : ''สาวไทยห่วงสวย'' หนุนตลาด Face Skincare ปี 64 โตสวนทางเศรษฐกิจ-ปัจจัยลบโควิด-19


ก่อนที่จะเกิดวิกฤตโควิด-19 ในปี 2563 ตลาดความงามในประเทศไทย มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 6-7% ทุกปี หรือมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่กว่า 2.2 แสนล้านบาท โดยเฉพาะในกลุ่มสกินแคร์ดูแลผิวหน้า (Face Skincare ) ถือเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุด  ด้วยการครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 80% หรือมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่กว่า 9 หมื่นล้านบาท  

แต่หลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระลอกแรก ตลาดสกินแคร์ดูแลผิวหน้า ก็ได้รับผลกระทบทันที เนื่องจากผู้บริโภคมองว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย จึงทำให้ยอดขายมีการปรับลดลงอย่างรวดเร็วประกอบกับกลุ่มลูกค้าหลักที่จับจ่ายใช่สอยซื้อสินค้าดังกล่าวเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ เลยทำให้ตลาดสกินแคร์ดูแลผิวหน้าในปี 2563 ติดลบเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี 
 

น.ส.วิลาสินี ภาณุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท อีฟ โรเช่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า  จากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการในกลุ่มสกินแคร์ดูแลผิวหน้าและบริษัทต้องปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ด้วยการปรับขนาดของบรรจุภัณฑ์ ปรับราคาให้เหมาะสมกับผู้บริโภค และปรับกลยุทธ์ในการทำตลาดใหม่ ซึ่งจากการปรับตัวดังกล่าว ประกอบกับผู้บริโภคเริ่มปรับตัวเข้าสู่ยุคนิวนอร์มอล ทำให้กลุ่มสกินแคร์ดูแลผิวหน้าเป็นตลาดที่กลับมาฟื้นตัวเร็ว   

แม้ว่าคนจะแต่งหน้าน้อยลง แต่ก็หันมาเน้นการบำรุงผิวมากขึ้น  โดยเฉพาะเมื่อต้องใส่ Mask และใช้ Skin Care Routine มาเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวเองผ่อนคลายเมื่ออยู่ที่บ้าน อย่าง DIY Beauty Care  เป็นเทรนด์ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน แม้ลูกค้าจะระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ด้วยการหันมาซื้อสินค้าราคาถูกลง แต่จำนวนชิ้นหรือขั้นตอนในการดูแลผิวไม่ได้ลดลงเลย 

อย่างไรก็ดี แม้ว่าปี 2563 ตลาดสกินแคร์ดูแลผิวหน้าจะเติบโตลดลง แต่สำหรับ อีฟ โรเช่ ยังสามารถเติบโตได้ที่ 7% เนื่องจากมีการปรับตัวและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับผู้บริโภค โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการเติบโตมากที่สุด คือ Hair Care มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 60% ส่วนกลุ่ม Face Care ก็ยังมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่าตลาดรวมที่ติดลบ เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์แบรนด์  และปรับกลยุทธ์ในการขายให้หลากหลายทั้งผ่านช่องทางออฟไลน์และออนไลน์    

น.ส.วิลาสินี กล่าวอีกว่า ในปี 2564 นี้ บริษัทยังคงมียอดขายโตอย่างต่อเนื่องที่ 11% แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 3 โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำให้มียอดขายเติบโต นอกจากจะเป็นกลุ่ม Hair Care และกลุ่ม Bath & Body Care แล้ว ในส่วนของกลุ่ม Face Care ก็มีอัตราการเติบโตที่ดีเช่นกัน  เนื่องจากบริษัทมีนวัตกรรมสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาด หนึ่งในนั้นคือ “AAG Super Serum Bud Nectar” เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายอายุ 20 ปีปลายๆ เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก  

ขณะเดียวกันในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ ลอรีอัล กรุ๊ป ก็มีอัตราการเติบโตที่ดีเช่นกัน เนื่องจากมีการปรับแผนเชิงรุกในการทำตลาด ด้วยการใช้เทคโนโลยี data และ AI เพื่อก้าวขึ้นเป็นบริษัท Beauty Tech และเพิ่มยอดขายให้เติบโตมากขึ้นในอนาคต   
 

นายนิโคลา ฮิโรนิมุส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวว่า  ภาพรวมยอดขายของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤตโควิด-19 ภายหลังจากใช้เทคโนโลยี data และ AI เข้ามาช่วยในการทำตลาด  ซึ่งในส่วนของการเติบโตที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาสามารถแบ่งได้ตามแผนกธุรกิจ ดังนี้  

1.แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ เติบโต 41% จากเทรนด์ในตลาด 3 ส่วน คือ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของซาลอนและร้านเสริมสวยต่างๆ การพัฒนาสไตลิสต์ที่เป็นฟรีแลนซ์ และการขยายตัวของอี-คอมเมิร์ซ 2.แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค เติบโต 6.3% โตสูงกว่าตลาด และเติบโตในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในจีน บราซิล อินโดนีเซีย และประเทศหลักในยุโรป ช่องทางอี-คอมเมิร์ซเติบโตมาก สัดส่วน 20% ของยอดขายรวม 3.แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง เติบโต 28.1% โตสูงกว่าตลาดในทุกภูมิภาค จากการกลับมาเปิดให้บริการหน้าร้านบางส่วน และแผนกนี้ยังมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งสามประเภทที่มี 4.แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง เติบโต 37.5% โดยมีการปรับผลิตภัณฑ์แบรนด์สกินแคร์ให้ตอบรับกับความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากกว่าเดิมในช่วงการระบาดของโควิด 

จากความสำเร็จที่ได้รับดังกล่าวทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ลอลิอัล กรุ๊ป ยังคงเดินหน้าใช้กลยุทธ์เทคโนโลยี data และ AI  เข้ามาเป็นเครื่องมือในการทำตลาดเหมือนกับครึ่งปีแรก เพราะ ลอรีอัล กรุ๊ป มั่นใจว่าจะนำมาซึ่งยอดขายที่เติบโตตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ 

ด้าน "วิฟสกิน" ก็ออกมาโชว์ผลการตอบรับที่ดีเกินคาด ด้วยการมีรายได้เติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ  และการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วยการมียอดขายที่สูงเกินเป้าถึง 4 เท่า หรือมีอัตราการเติบโตสูงถึง 508% พร้อมกับการันตรีความสำเร็จด้วยรางวัลผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสมุนไพรดีเด่นระดับชาติ จากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ถึง 2 ปีซ้อน  
 

น.ส.วรัทยา นิลคูหา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กลิทเทอรี่ อินโนเวชั่น คอสเมติก จำกัด กล่าวว่า วิฟสกิน (VIV SKIN) เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่พัฒนาร่วมกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านทำการคัดสรรสารสกัดชั้นเลิศจากทั่วโลก ซึ่งหลังจากเปิดตัวมาได้เพียงไม่ถึงปี วิฟสกิน ขมิ้นโรสครีม ได้ผลตอบรับดีเกินคาด เพราะเดิมที่บริษัทวางเป้าหมายของแบรนด์วิฟสกินในปี 2564 ไว้ว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปี 2563 แต่ปัจจุบันยอดขายของแบรนด์วิฟสกินเติบโตเกินเป้าไปแล้วถึง 4 เท่า หรือมียอดขายเติบโตที่ 508% และมีอัตราการซื้อซ้ำสูงกว่า 80%   

และเพื่อให้ปี 2565 ยังมียอดขายเติบโตที่ดีต่อเนื่อง วิฟสกิน จึงมีแผนที่จะใช้กลยุทธ์ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี เข้ามาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ควบคู่ไปกับการใช้ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งคู่กับการตลาดออฟไลน์ เพื่อขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ

LastUpdate 11/12/2564 19:54:46 โดย : Admin
06-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 6, 2024, 10:05 am