ราคาทอง Sideway ในกรอบ 1,790-1,845 ดอลล์
เงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยสหรัฐกดดันหุ้นแกว่งตัวผันผวน
สัปดาห์ที่ผ่านมาทองคำรีบาวด์ขึ้นทำจุดสูงสุดบริเวณ 1,828 ดอลลาร์ต่อออนซ์เนื่องจากช่วงกลางสัปดาห์ท่าทีคำแถลงของ เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยส่งสัญญาณว่า เฟดจะยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำต่อไป อีกทั้งยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าว
ส่งผลให้ทุกตลาดคลายความกังวลลง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐย่อตัวลงจากระดับ 1.81% เหลือ 1.69% สอดคล้องกับดัชนีดอลลาร์ปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดในรอบ 2 เดือน บริเวณ 94.66 ส่งผลทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น
ตรงกันข้ามกับเงินเฟ้อเดือนธันวาคมออกมาสูงถึง 7% โดยสูงกว่าครั้งก่อนที่ 6.8% แต่ตลาดรับข่าวเฟดตรึงดอกเบี้ยระดับต่ำมากกว่าผลกระทบเชิงลบจากเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นจึงไม่มากนัก ส่วนนักวิเคราะห์หลายคนชี้เฟดประเมินผลกระทบเงินเฟ้อต่ำเกินไป อีกทั้งคาดการณ์ว่าอย่างน้อยในปีนี้เฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายถึง 2 ครั้ง
ส่วนสัปดาห์นี้เป็นไปได้สูงว่าราคาทองคำจะแกว่งตัวออกข้าง เนื่องจากทั้งสัปดาห์ไม่มีประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ ฉะนั้นโฟกัสหลักๆ ยังอยู่ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐ(Bond yield) และดัชนีดอลลาร์ (dollar index)
สิ่งที่นักลงทุนอาจต้องจับตาถึงท่าทีของเฟดว่าจะประเมินผลกระทบของเงินเฟ้อในระยะถัดไปอย่างไร หากเฟดกลับคำแถลงโมเมนตัมตลาดเป็นลบในทันที ซึ่งอาจทำให้ตลาดเผชิญแรงเทขายค่อนข้างหนัก เนื่องจากการปรับลดวงเงิน QE วงเงิน 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจะสิ้นสุดในเดือนมีนาคมนี้และการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอาจเร็วขึ้น
ฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ประเมินว่าสัปดาห์นี้ราคาทองคำอาจ Sideway ในกรอบ 1,790-1,845 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากยังไร้ปัจจัยกระตุ้นและปัจจัยกดดันใหม่
สำหรับบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นเมื่อวันศุกร์ ที่ผ่านมา (14 ม.ค.) ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดช่วงการซื้อ-ขาย โดยลบต่ำสุดราว 9 จุด เป็นการปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐ จากประเด็นความกังวลเจ้าหน้าที่เฟดประสานเสียงหนุนขึ้นดอกเบี้ยเดือนมี.ค. ประกอบกับดัชนีอยู่ในระดับสูง เข้าใกล้บริเวณ 1,680 จุด ทำให้ดัชนีมีการพักตัว ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,672.63 จุด -7.39 จุด -0.44% มูลค่าการซื้อขาย 90,862 ล้านบาท
ฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก คาดดัชนีสัปดาห์นี้มีโอกาสแกว่งตัวผันผวนในลักษณะ Sideway ออกข้าง โดยยังมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ขณะที่ยังต้องติดตามสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศที่ยังทรงตัวในระดับสูง คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,650-1,700 จุด
ส่วนหุ้นที่น่าจับตามองในสัปดาห์นี้ได้แก่ หุ้น NCAP ราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ 12.10 บาท ทยอยไต่ระดับขึ้น โดยมี Volume เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และ MACD ส่งสัญญาณ Bullish คาดราคามีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบต้านที่ 13.00-14.20 บาท มีแนวรับอยู่ที่ 11.80 บาท และมีจุด cut loss ที่ 11.70 บาท
และหุ้น IRPC ราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ 2.28 บาท กลับมายืนเหนือเส้น EMA ทุกระดับ พร้อม Volume เริ่มกระตุก และ Slow Sto.+MACD ส่งสัญญาณซื้อ หากผ่าน High ที่ 2.56บาท จะมีต้านถัดไปที่ 2.80 บาท มีแนวรับอยู่ที่ 2.20 บาท และมีจุด cut loss อยู่ที่ 2.16 บาท
ข่าวเด่น