เมื่อวันพุธที่ผ่านมานี้ ได้มีข่าวสะเทือนวงการ Digital Asset โดยเฉพาะด้านของ NFT เมื่อ “Binance” แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตและสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลก ได้ประกาศจับมือเป็นพันธมิตรร่วมกับ “YG Entertainment” ค่ายเพลงที่มีอิทธิพลเป็น 1 ใน Top 3 ของประเทศเกาหลีใต้ อีกทั้งยังเป็นต้นสังกัดผลิตศิลปินชื่อดังระดับโลกอย่าง BLACKPINK และ BIGBANG
การร่วมมือกันครั้งนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง 2 จะร่วมกันพัฒนาโปรเจค NFT โดยทางด้านของ Binance จะเป็นผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยี Blockchain และพื้นที่ Platform ส่วนทาง YG Entertainment จะเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ของ NFT และเกมที่ทั้ง 2 บริษัทจะร่วมกันพัฒนา Binance Smart Chain-based games เพื่อนำโปรเจคเกมดังกล่าวเข้าสู่โลกของ Metaverse อีกด้วย
โดยที่ทั้ง 2 พันธมิตรได้ย้ำจุดยืนอีกว่าการพัฒนาโปรเจค NFT นี้ จะเป็นไปในลักษณะของ Eco-Friendly Ecosystem หรือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งทาง Binance NFT ปัจจุบันเองนั้นก็อยู่ในเครือข่ายที่ใช้ระบบ POS (Proof of Stake) ที่ไม่ใช้ทรัพยากรไฟฟ้าที่สิ้นเปลืองพลังงานอยู่แล้ว ซึ่ง Helen Hai ผู้เป็น Global Head ของ Binance NFT ได้กล่าวในทำนองเดียวกันว่า “Binance จะทำงานร่วมกับ YG อย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างระบบนิเวศของ NFTs ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตัวของ YG นั้น เป็นบริษัทสื่อเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ที่มีอิทธิพลระดับโลก การประกาศว่าโปรเจคของเราใช้แพลตฟอร์ม Blockchain ที่มีความยั่งยืนนั้น จึงถือเป็นสิ่งที่สำคัญ”
สิ่งนี้บอกอะไรกับเรา ?
การที่สื่อเอ็นเตอร์เทนเม้นท์เกาหลีอย่าง YG ได้กระโดดเข้ามาร่วมเล่นในตลาด NFT จะเป็นแรงกระเพื่อมที่สำคัญอย่างมาก ที่ทำให้เกิดการ Adoption หรือจูงมือกลุ่มคนใหม่ๆให้เข้ามารู้จักกับโลกของ Digital Asset เกิดการลงทุนซื้อขายทรัพย์สินดิจิทัลต่างๆโดยเฉพาะ NFT และกลายเป็นพลเมืองของโลกใบใหม่ใบนี้ในที่สุด เพราะเราคงทราบถึงกระแสอันโด่งดังของอุตสาหกรรม K-Pop กันดีในระดับหนึ่งอยู่แล้วว่า มีไอดอลเกาหลีอยู่มากมายหลายวง ซึ่งมีฐานแฟนคลับกระจายอยู่ทั่วโลก ยิ่งเฉพาะค่าย YG ที่ถือเป็น Top 3 ของวงการ K-pop ที่เป็นต้นสังกัดของ BLACKPINK และ BIGBANG อันโด่งดังระดับ Global แฟนคลับนั้นก็มีจำนวนสัมพันธ์กับความโด่งดังที่พวกเขาได้รับ (BLACKPINK มียอดติดตามบน Youtube อยู่ราว 72 ล้านคน มียอดการเข้าชมกว่า 2 หมื่นล้านครั้ง และ BIGBANG มียอดติดตามบน Youtube อยู่ 14 ล้านคน และมียอดการเข้าชมแตะเกือบ 7,000 ล้านครั้ง) ซึ่งโดยปกติแล้ว วัฒนธรรมของแฟนคลับจะมีการซัพพอร์ตไอดอลเกาหลีที่เขาชอบด้วยการซื้ออัลบั้ม (ยอดขายอัลบั้มมีผลกับรางวัลที่ไอดอลจะได้รับ หรือได้สิทธิการเข้าร่วม Fansign), การปั้มยอด View, การส่ง Food support และกิจกรรมใดๆก็ตามที่เป็นการสนับสนุนไอดอลที่ชื่นชอบนั้นๆ ยิ่งช่วงล่าสุดในไม่กี่ปีให้หลังในหมู่แฟนคลับมีการเก็บสะสมการ์ดที่เป็นรูปของสมาชิกวงไอดอลในแต่ละคน หรือเรียกง่ายๆว่าเก็บการ์ดเมนของตัวเอง (เมน คือคนที่ชอบที่สุด คนที่เราวางไว้เป็นที่ 1 ในใจของวงนั้นๆ) ที่จะได้จากอัลบั้มโฟโต้บุ๊คส์ หรือ Set ผลิตพันธ์ที่ไอดอลวงนั้นๆเป็นพรีเซ็นเตอร์ และมีการประมูลขายกันอีกด้วย ฉะนั้นแล้วการที่บริษัท YG Entertainment ได้จัดทัพพัฒนาคอนเทนต์ให้อยู่ในรูปแบบ NFT จะเป็นการสื่อสารทางตรงกับลูกค้า(แฟนคลับ) ที่ทำให้พวกเขาได้เกิดการเรียนรู้สินทรัพย์รูปแบบใหม่ และเกิดการ Adoption ในโลกของ Digital Asset ในที่สุด
จริงๆแล้ว ก่อนหน้านี้ “Six Network” แพลตฟอร์ม DeFi ที่ร่วมทุนระหว่าง Co-Founder ของฝั่งไทยและฝั่งเกาหลี ก็ได้ออก NFT ชุดแรกของวง “T-ara” 1 ใน Girl group ของเกาหลีที่มีชื่อเสียง ในโปรเจคการครบรอบเดบิวต์ 12 ปี ซึ่ง Sold-out ภายในวันที่เปิดขาย
การนำทัพของ YG Entertainment ครั้งนี้ อาจจะเป็นตัวอย่างให้กับบริษัทที่ปั้นไอดอล K-Pop ค่ายอื่นๆ หันมาพัฒนาโปรเจค NFT ออกมาเช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจับตามองอย่างมากว่ายอดการ Adoption ของตลาด NFT จะสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหากมองมูลค่าตลาด NFT ในเวลานี้นั้น มีมูลค่าอยู่เพียงประมาณกว่า 23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถ้าเทียบกับมูลค่าของบริษัท Apple บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ที่มีชื่อเสียง อย่าง ไอแพด ไอโฟน หรือ แม็คบุ๊คส์ นั้น มีมูลค่าเกินกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว หมายความว่า เส้นทางของตลาด NFT มีแนวโน้มที่เติบโตได้อีกมาก และน่าจะเป็นเส้นทางการลงทุนสายใหม่ ที่เราอาจจะต้องนั่งลงและศึกษาทำความเข้าใจกันอย่างจริงจังนับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป
ข่าวเด่น