ช่วงนี้สภาวะเศรษฐกิจของแทบทุกประเทศ กำลังตกอยู่ในช่วงที่ไม่สู้ดีนัก ทั้งเรื่องของปัญหาเงินเฟ้อ และสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงเรื้อรัง ส่งผลให้สินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆมีราคาแพงขึ้น มี Cost of Living ที่สูงขึ้น อำนาจในการจับจ่ายใช้สอย หรือความมั่งคั่งของผู้คนจึงลดลง ซึ่งนั่นได้ส่งผลกระทบมายังภาคของการลงทุน ที่ในแต่ละตลาดมีความผันผวนอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงในส่วนของ Digital Asset ที่ขนาดตัวของตลาดคริปโตเองยังดูสงวนท่าที จากราคา All Time High ของ Bitcoin ที่ 69,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ปรับตัวลงมาทำ Sideways ที่ยังราคายังเซื่องซึมไม่ขยับไปไหนไกลระหว่าง 3x,xxx ปลายๆ - 4x,xxx ต้นๆ ก็คงไม่ต้องพูดถึงในส่วนของตลาด NFT โดยรวม ที่ตอนนี้ ราคาของแต่ละโปรเจคได้ทยอย(ดิ่ง)ลงมาปรับฐาน บ่งบอกอารมณ์ของตลาด ที่ยังคงเต็มไปด้วยความกลัว
หากเราส่องดูสถิติราคาของ NFT จากเว็บไซต์ CoinMarketCap จะเห็นได้ว่าทั้ง Market cap และ Volume การขาย เส้นกราฟสถิติได้ปักหัวลงไปเป็นที่เรียบร้อยตามภาพด้านบน ซึ่งถ้าซูมเข้าไปไล่ดู NFT แต่ละโปรเจค จะเห็นได้ถึงฐานของราคา (Floor Price) ที่ลดลงเช่นกัน
ยกตัวอย่างโปรเจค NFT บน Opensea อย่าง Ape Kids Club มีการปรับระดับราคา Floor Price จากเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ที่ราคาเฉลี่ยอยู่ประมาณ 1.4 ETH ลดลงมาปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 0.14 ETH
เช่นเดียวกับโปรเจค NFT ที่ชื่อ C-01 โปรเจคที่มีแผนจะเชื่อมโลกแฟชั่นเข้ากับ Metaverse โดยมีการร่วมมือกับ Fashion Designer จากทาง Louis Vuitton, Warner bros และ Luis Monteiro ซึ่ง ณ ตอนนี้ราคาก็ได้มีการปรับตัวลดลงเหมือนกับโปรเจคอื่น โดยลดลงต่ำกว่า 0.25 ETH ซึ่งเป็นราคาที่เปิดให้ Whitelist Mint ครั้งแรก
สภาวะตลาดของ NFT จากข้อมูลที่ได้กล่าวไปข้างต้น บ่งบอกว่าตอนนี้ ตลาดเกิดอาการ Volume ไม่เข้า แม้ราคาของ NFT แต่ละโปรเจค ดูเสมือนว่ากำลังทำการตลาด ลดกระหน่ำรับ Summer Sale ก็ตาม แต่โปรโมชั่นนี้ดูจะไม่สามารถจูงใจให้เกิด Volume การซื้อขายเข้ามาเท่าที่ควรนัก เหตุก็เป็นเพราะสภาวะเศรษฐกิจที่ได้เกริ่นไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นกลไกลตลาดที่เข้าใจได้ เพราะมันเกิดขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง หากอิงกับภาคการลงทุนอื่นที่มีมาก่อน เช่น หุ้น หรือพวกตราสารอนุพันธ์ ที่เวลามีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น
ในประเทศมหาอำนาจ อันเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับประเทศอื่นๆ เป็นห่วงโซ่ต่อๆกัน ก็จะเกิดความผันผวน ที่นักลงทุนจะกระโดดหนีตาย Cut Loss กันจนราคาหุ้นที่เกี่ยวโยงกับสถานการณ์นั้นๆต่างปักหัวดิ่งลงเหว ก่อนกระชากกลับขึ้นไปเหมือนการเล่นรถไฟเหาะ หากสถานการณ์มีความคลี่คลาย ที่ทำให้อารมณ์คนในตลาดบรรเทาความกลัว และกล้านำเงินกลับเข้าไปลงทุน เราจึงเห็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า FOMO หรือ Volume การซื้อขายกลับเข้ามาอย่างฉุกละหุก ทั้งๆที่ราคามีแต่จะสูงกับสูงขึ้นกันอยู่บ่อยๆ การที่ศาสตร์การตลาด ด้วยวิธีการลดราคาเพื่อระบายของออก ดูจะใช้ไม่ได้ในแง่ของโลกการลงทุน เป็นเพราะคนส่วนใหญ่ในตลาดเกิดความกลัว และมีความกังวลว่าสินทรัพย์นั้นๆ จะยืนอยู่ต่อในสภาวะเลวร้ายรึเปล่า? จะมีอนาคตไหม? หรือไม่ก็เกิดความกลัวว่าราคาของสินทรัพย์นั้นๆจะยิ่งต่ำลงจนตนเองขาดทุน จึงเกิดเป็นสถานการณ์ดังกล่าว ที่รวมถึงสภาวะความกลัวที่เกิดขึ้นกับตลาด NFT ในตอนนี้
หากเราเป็นคนส่วนใหญ่ในตลาด หรือมีสภาวะอารมณ์และการตัดสินใจไปในทิศทางเดียวกับคนส่วนมาก แน่นอนว่า เราก็คงเกิดความกลัวไม่กล้าซื้อสินทรัพย์ที่ราคาปรับตัวลงมาในสถานการณ์เลวร้าย และเกิดอาการ FOMO ไล่ราคาซื้อสินทรัพย์ที่มูลค่าพุ่งสูงขึ้น เพราะกลัวตกรถ ซึ่งในหลายต่อหลายครั้งตลาดก็โดนหลอกจากวาฬ ที่อ่านพฤติกรรมของคนในตลาดออก เราเลยเห็นการล้างสาย Short สาย Long หรือการเทขายสินทรัพย์นั้นเป็นจำนวนมากในช่วงที่ราคากำลังพุ่งสูง (คนในตลาดส่วนใหญ่กำลังไล่ราคาเข้า) และเข้าช้อนซื้อต่อทันที ซึ่งเรียกกันว่า “การเขย่าเม่า” การที่เราซิงค์กับอารมณ์ตลาด จึงดูเป็นแนวทางการลงทุนที่ไม่น่าสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองแบบยั่งยืนได้ แต่หากเราทำตรงกันข้าม อย่างการเลือกซื้อสินทรัพย์ที่ประเมินข้อมูลด้วยต้นเองแล้วว่ามีอนาคต เชื่อถือได้ ในสถานการณ์ไม่ปกติที่ตลาดกำลังกลัว และปล่อยของออกมาในราคาถูก ดั่งคำพูดของ วอร์เร็น บัฟเฟตต์ นักลงทุนระดับโลกว่า “จงกลัวในเวลาที่คนอื่นกล้า และจงกล้าในเวลาที่คนอื่นกลัว” หรือก็คือการทำสิ่งที่ผกผันกับคนส่วนใหญ่ในตลาด เราก็อาจได้ผลตอบแทนที่มากกว่า และยืนอย่างแข็งแกร่งอยู่ในตลาดลงทุนได้ในระยะยาว
กลับมาที่เรื่องตลาดของ NFT ที่อาจกำลังซ้ำรอยเดิม กับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในสินทรัพย์อื่นๆ นี้อาจเป็นโอกาสอันดีที่เราจะสามารถพิจารณาเลือกลงทุนในโปรเจค NFT ในช่วงเวลาที่ราคากำลังถูกลง ณ ขณะนี้ ซึ่งนอกจากเหตุผลที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆมาสนับสนุนว่าสถานการณ์ตลาด NFT ที่กำลังซบเซา เป็นเพียงผลกระทบมาจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ได้หมายความว่า NFT เป็นแค่กระแส ที่มาเร็วไปเร็ว และกำลังดับลง เพราะทาง Mark Zuckerberg จากบริษัท Meta ที่เรารู้กันดีว่ากำลังสร้างซุ่มสร้าง Metaverse ออกเป็นธุรกิจใหม่นั้น ล่าสุดได้ดำเนินแผนที่วางไว้ โดยการประกาศว่าทางบริษัทกำลังจะพัฒนาฟังก์ชั่นที่จะทำให้ Instagram นั้นรองรับ NFT มาตั้งเป็นโปรไฟล์ได้ในไม่อีกกี่เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งจะต้องทำการซื้อขายผ่านกระเป๋าอิเล็คทรอนิกส์ของค่าย Meta เอง ที่ชื่อว่า “Novi” เท่านั้น และผู้ใช้ยังอาจสามารถสร้าง NFT ขึ้นมาเองผ่านทาง Instagram ได้เลย หรือจะเป็นเม็ดเงินขนาดใหญ่ที่เข้ามาลงทุนในโปรเจค Metaverse ชื่อดังอย่าง The Sandbox และ Decentraland ที่ธนาคารยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง HSBC ได้ทำข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนกับโปรเจค The Sandbox เข้าไปซื้อที่ดินบางส่วนเพื่อนำไปพัฒนาวงการ ESport ซึ่งมีเป้าหมายว่าจะเสริมสร้างประสบการณ์และการบริการให้กับลูกค้าปัจจุบันของธนาคาร รวมถึงชุมชนที่ธนาคารให้บริการ และลูกค้าในอนาคต โดยจะเปิดเผยรายละเอียดภายในโอกาสต่อไป และทางด้านโปรเจค Decentraland ก็ได้ JP Morgan ธนาคารเพื่อการลงทุน และบริษัทให้บริการทางการเงินรายใหญ่ของสหรัฐ เข้ามาร่วมลงทุนโดยการเปิดตัว Lounge ที่มีชื่อว่า “Onyx” บนโลกของ Decentraland และล่าสุด โปรเจค NFT ชื่อดังอย่าง Bored Ape Yacht Club ก็กำลังวางแผนที่จะสร้าง Metaverse ที่มีชื่อว่า “MetaRPG” โดยกำลังจะเปิดขายที่ดินเสมือนจำนวน 200,000 Plot เพื่อการขยายจักรวาลของโปรเจค และชุมชุน NFT โดยในตอนนี้ก็มี Token ของ Ecosystem นี้ที่ชื่อว่า “APECoin” นำทัพออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จากปัจจัยทางบวกที่ได้กล่าวมาในบทความนี้ ผู้อ่านที่ลงทุนอยู่ใน NFT หรือกำลังเลือกซื้อ NFT ในช่วงนี้คงคลายความกังวล หรือข้อกังขาที่มีไม่มากก็น้อย แต่อย่างไรแล้ว ก็ยังต้องระมัดระวังในการเลือกลงทุนกับโปรเจค NFT อยู่ดังเดิม เพราะถึงแม้ NFT ยังเป็นตลาดที่ยังคงน่าลงทุน แต่ไม่ใช่ทุกโปรเจค NFT ที่มีบนโลกจะประสบความสำเร็จ หรือทำตาม Roadmap ที่เคยประกาศไว้ เพราะการโจรกรรมทางไซเบอร์ ทั้งการปลอมขายงาน NFT หรือตั้งโปรเจคขึ้นมาเพื่อการ Scam ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน ฉะนั้นแล้วเรายังควรต้องตั้งการ์ด ศึกษาข้อมูล และพิจารณาเลือกลงทุนอย่างถี่ถ้วนด้วยตัวเองทุกครั้ง เพื่อที่จะทำให้เรายืนอยู่ในตลาดการลงทุนของโลกใหม่ได้อย่างยาวนานและยั่งยืน
ข่าวเด่น