หุ้นทอง
KBank Private Banking แนะกลยุทธ์กระจายการลงทุนหลายสินทรัพย์ผ่านกองทุนผสม ชูหุ้นกลุ่ม Winner of New Economy และ Sustainability มีโอกาสรีบาวน์สูงหลังสงครามคลี่คลาย


KBank Private Banking แนะกลยุทธ์การลงทุนในช่วงสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนยังตึงเครียดกระจายการลงทุนหลายสินทรัพย์ผ่านกองทุนผสม ชูหุ้นกลุ่ม Winner of New Economy และ Sustainability มีโอกาสรีบาวน์สูงหลังสงครามคลี่คลาย พร้อมจับมือ Lombard Odier พันธมิตรไพรเวทแบงก์ระดับโลก เปิด 4 Scenarios เหตุขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ปัจจัยทำตลาดหุ้นโลกดิ่ง

 

 

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group – Executive Chairman ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง นอกจากได้รับปัจจัยเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นสูงแล้ว ยังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งรัสเซียเองถือว่าเสียหายมากจากนานาชาติพากันคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และจากผลของสงครามได้ส่งผลไปยังราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นต่อเนื่อง กระทบต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ตกลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ซึ่ง ณ เวลานี้ นักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่เริ่มเกิดคำถามขึ้นแล้วว่า ควรปรับพอร์ตการลงทุนหรือไม่ และปรับพอร์ตอย่างไรให้เหมาะสมกับวิกฤตในครั้งนี้ 
 
"จากเหตุการณ์รัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ KBank Private Banking แนะนำนักลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนที่เป็นพอร์ตระยะยาวและมีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมให้ถือพอร์ตต่อไป อย่างไรก็ตาม สำหรับในส่วนของธนาคารกสิกรไทยที่ดูแลพอร์ตลูกค้าจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และปรับพอร์ตรวมถึงกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจให้กับลูกค้า"นายจิรวัฒน์กล่าว
 
 
 
 
 
นางสาวศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director-Financial Advisory Head ธนาคารกสิกรไทย กล่าวเสริมถึงแนวทางการปรับพอร์ตการลงทุนในช่วงสถานการณ์เช่นนี้ที่ราคาสินทรัพย์ในตลาดย่อตัวลง ถือเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนให้แก่ลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงใน 2 กรณี ได้แก่ 

กรณีที่ยังมีกระแสเงินสดสำหรับเข้าลงทุนเพิ่ม และสามารถถือการลงทุนได้นานกว่า 3 ปีขึ้นไป หรือ มีการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น กองทุนที่ซื้อขายได้ทุกวันทำการเป็นสัดส่วนการลงทุนหลัก สิ่งแรกที่นักลงทุนต้องพิจารณาก็คือความเสี่ยงที่รับได้ หรือ Risk Profile ของตนเอง เช่น รับความเสี่ยงได้ต่ำถึงปานกลาง แนะนำให้ลงทุนเพิ่มในกองทุนผสมที่กระจายการลงทุนในหลายๆ สินทรัพย์ เช่น กองทุน K-GA, K-GINCOME, K-ALLROAD, K-ALLGROWTH และ K-ALLENHANCE
 
แต่หากรับความเสี่ยงได้สูง แนะนำให้ลงทุนในกองทุนหุ้น อย่าง K-HIT และ K-CHANGE ภายใต้ธีม Winner of New Economy เนื่องจากพื้นฐานยังคงแข็งแกร่งในระยะยาว กระจายลงทุนในหลายๆ กลุ่มธุรกิจในทุกภูมิภาคทั่วโลก และถูกเทขายหนักจากความกังวลในตลาด ซึ่งหากสถานการณ์ความขัดแย้งคลี่คลายจะมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วและแรงกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ และ กองทุน K-CLIMATE ภายใต้ธีม Policy Driven for better world ซึ่งถือเป็นธีมการลงทุนที่สอดคล้องไปกับกระแสหลักของโลก (Mega Trend) ที่ราคาปรับลงไม่มากเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นๆ
 
นอกจากนี้ยังแนะนำให้ลงทุนใน REITs หรือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ที่สร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอ และจากภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นยังสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้นอีกด้วย 
 
 
 
 
แต่หากเป็นกรณีที่ถือการลงทุนเต็มแล้ว (Fully invested) สิ่งที่ต้องทำอย่างแรก คือ ให้พิจารณาว่าพอร์ตการลงทุนเป็นพอร์ตลงทุนระยะยาวที่กระจายความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสมอยู่แล้วหรือไม่ หากคำตอบคือใช่ แนะนำให้ถือพอร์ตต่อไป เพราะมีโอกาสที่สถานการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น 
 
อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุน อยากเพิ่มเงินสดให้พอร์ต แนะนำให้ขายหุ้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เพราะมีโอกาสฟื้นตัวช้ากว่าตลาดหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว หรือขายหุ้นไทย ที่ได้ประโยชน์จากวิกฤตครั้งนี้ เพราะมีสัดส่วนของกลุ่มพลังงานสูง
 
นอกจากนี้ แนะนำให้สลับกองทุน (Switching) เช่น ขายกองทุนที่ราคาลงไม่มากไปซื้อกองทุนที่ราคาลงมากกว่า โดยเน้นกลุ่มที่ยังมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีโอกาสฟื้นตัวได้มากกว่า อย่างไรก็ตาม การสลับกองทุนจะมีค่าธรรมเนียม และต้องประเมินกลยุทธ์ลงทุนประกอบด้วย 
 

 
 
 
ด้าน ดร.แซมมี่ ชาร์ หัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์ Lombard Odier พันธมิตรทางธุรกิจไพรเวทแบงก์ระดับโลกจากสวิตเซอร์แลนด์ มองเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน เป็น 4 ความเป็นไปได้ 

1.กรณีฐาน - ความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซียลากยาว การเจรจาไม่สำเร็จ (โอกาสเกิด 50%) ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงทั่วโลก จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น และห่วงโซ่อุปทานที่ชะงักไปจากมาตรการคว่ำบาตร การเติบโตเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง โดยเฉพาะในยุโรป โดย Lombard Odier ประมาณการณ์ว่า GDP ยุโรปจะปรับลด -1% ส่วนสหรัฐฯ -0.5% ในขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกเดินหน้าเข้มงวดนโยบายการเงิน 

2.กรณีดี - รัสเซียและยูเครน สามารถเจรจากันได้ บรรลุข้อตกลง แต่ยังคงมีมาตรการคว่ำบาตรบางส่วน (โอกาสเกิด 20%) ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัวได้ดี ในขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะยังคงทรงตัวในระดับสูง แต่อยู่ในระดับจัดการได้ เงินเฟ้อค่อยๆ ปรับลดลง 

 
 
 
 
3.กรณีเลวร้าย - ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนรุนแรงขึ้น มีการคว่ำบาตรที่รุนแรงขึ้น (โอกาสเกิด 20%) ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ แต่ Lombard Odier มองว่าไม่ถึงขั้นทำให้เศรษฐกิจถดถอย (Recession) เพราะปัจจุบันกิจกรรมเศรษฐกิจโลก ไม่ได้พึ่งพาน้ำมันมากเท่าในอดีต และก่อนหน้านี้เศรษฐกิจโลกถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีมากหลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 เริ่มคลี่คลาย นอกจากนี้ รัฐบาลแต่ละประเทศจะออกมาตรการมาพยุงเศรษฐกิจ เช่น ช่วยเหลือค่าครองชีพกลุ่มคนรายได้น้อย เพื่อให้เศรษฐกิจไปต่อได้  

4.กรณีเลวร้ายที่สุด - ความขัดแย้งขยายไปทั่วโลก (โอกาสเกิด 10%) ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอย และมีโอกาสเกิดวิกฤตทางการเงิน ธนาคารกลางทั่วโลกจะชะลอการออกนโยบายเข้มงวด เน้นดำเนินนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน 

 

บันทึกโดย : วันที่ : 21 มี.ค. 2565 เวลา : 16:05:30
30-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 30, 2024, 4:52 am