
ในช่วงนี้ ดูท่ากระแสของ “Metaverse” จะลดความร้อนแรงลงไปสักพักหนึ่งแล้ว หลังจากที่ Mark Zuckerberg ได้เปลี่ยนชื่อบริษัทของตนจาก Facebook ไปเป็น “Meta” ซึ่งบ่งบอกถึงการกระโดดเข้ามาร่วมแข่งขันในตลาดธุรกิจโลกเสมือน โดยทันทีที่มีการประกาศการแตกไลน์ธุรกิจใหม่ของบริษัทที่ให้บริการ Social Media ยักษ์ใหญ่อันดับ1ของโลก ก็ได้ส่งแรงกระเพื่อมอันมหาศาล ที่ทำให้มูลค่าของตลาด Metaverse โดยรวมพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ (เพราะเป็นการยืนยันกลายๆว่า Metaverse มันสามารถเกิดขึ้นได้จริงๆ จากที่รายใหญ่เข้ามาร่วมเล่นด้วย) ทั้งโปรเจค Metaverse ที่มี Currency ของตนเองในตลาดคริปโตมาอยู่ก่อนแล้ว มีมูลค่าพุ่งสูงขึ้น และ NFT ในหลายๆ โปรเจคก็ต่างทยอยกันออก Roadmap หรือหันหัวเรือพัฒนาโปรเจคของตนเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโลก Metaverse อีกด้วย เรียกได้ว่าถนนทุกสายต่างกระโจนเข้ามามีส่วนร่วมในโลกใบใหม่ดังกล่าวกันอย่างชุกชุม และถูกพูดถึงในวงกว้าง ถึงขนาดที่ราชบัณฑิตยสภาบัญญัติคำเป็นภาษาไทยว่า “จักรวาลนฤมิต” กันเลยทีเดียว ก่อนจะค่อยๆ Tone down ลงไปตามกลไกลธรรมชาติของตลาดลงทุน เนื่องด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจของโลก ผนวกเข้ากับเหตุผลที่ว่า มันยังเป็นเรื่องที่ใหม่มาก และยังไม่เห็นโลกเสมือนจริงนี้เป็นรูปธรรม
โดยกว่า Metaverse จะกลับมาเป็น Event สำคัญระดับสาธารณะอีกครั้ง อาจต้องอาศัยการพัฒนาที่เห็นเป็นรูปเป็นร่างชัดเจน หรือมีข่าวที่สั่นสะเทือนวงการได้เหมือนกับระดับข่าวของ Meta แต่ถ้ารอให้ถึงตอนนั้น ราคาของเหรียญโปรเจค Metaverse หรือ Digital Asset ในตลาดก็อาจจะขยับไปไกลมากแล้ว เพราะถึงแม้ช่วงนี้กระแสจะซา จนมูลค่าตลาดปรับตัวลดลง แต่จริงๆ Metaverse ใน ณ ขณะนี้ สามารถเปรียบได้กับทะเลที่กำลังมีคลื่นใต้น้ำ หมุนเชี่ยวอยู่ภายใน มองภายนอกอาจดูสงบนิ่ง ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่ถ้าลองวิเคราะห์ข่าวช่วงนี้ดีๆ จะพบว่าตอนนี้อาจเป็นช่วง Golden Time ที่ให้โอกาสเราสะสมความมั่งคั่ง หรือให้โอกาสเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งใน Ecosystem แรกๆของโลกใบใหม่ใบนี้ก็เป็นได้

ในวันจันทร์ที่ผ่านมา (28 มี.ค.2565) SCB 10X ได้เผยโฉมตัวอย่างสำนักงานใหญ่ (Headquarters) ใน “The Sandbox” แพลตฟอร์มเกมโลกเสมือนที่สร้างขึ้นบน Blockchain ของ Ethereum โดยที่เคยมีการประกาศจากบริษัทว่า ได้มีการเข้าซื้อที่ดิน (Land) เพื่อจะสร้างสำนักงานในแพลตฟอร์ม Metaverse ดังกล่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งล่าสุดการ Pre เปิดตัว ก็เพื่อเป็นการสื่อสารตอกย้ำ ตามการให้ข้อมูลของ ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด ว่า “เราให้ความสนใจและโฟกัสการลงทุนในกลุ่มธุรกิจด้าน Disruptive Technology ได้แก่ เทคโนโลยีด้านการเงิน (Fintech) โดยเฉพาะบล็อกเชน (Blockchain) ที่เกี่ยวกับด้าน Financial Services รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) Web 3.0 และ Metaverse โดยเราเล็งเห็นว่า Metaverse และ Web 3.0 จะเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดประตูสู่โลกอนาคตเพื่อต่อยอดทางธุรกิจในรูปแบบใหม่ๆ และช่วยให้สามารถเข้าถึงโอกาสการเติบโตที่ไร้ขีดจำกัดบนโลกเสมือน ที่ไม่จำกัดเพียงแค่อุตสาหกรรมการเงินเท่านั้น โดยแนวคิดในการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ (Headquarters) บน The Sandbox ครั้งนี้ นับเป็นการตอกย้ำพันธกิจของเราที่มุ่งมั่นสร้างการเติบโตในรูปแบบใหม่ๆ ให้แก่องค์กร ผ่านการนำขีดความสามารถทางเทคโนโลยี ตลอดจนความรู้ความเชี่ยวชาญของบุคลากรของ SCB 10X ผสานกับการร่วมมือเป็นพันธมิตรร่วมกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำระดับโลกเพื่อร่วมกันสร้างชุมชนและระบบนิเวศที่แข็งแกร่งบนโลก Metaverse เตรียมพร้อมรองรับการเติบโตในโลกอนาคต”
.png)
โดยที่สำนักงานใหญ่ ใน The Sandbox ของ SCB 10X จะใช้พื้นที่แบ่งประโยชน์ใช้สอยใน 3 ด้านหลัก ได้แก่
1. Virtual Hub พื้นที่แบ่งปันความรู้ (Event & Knowledge Sharing) เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีและการมีส่วนร่วม
2. Virtual Land พื้นที่สำหรับพันธมิตรทางธุรกิจในการทำกิจกรรมร่วมกันและพัฒนาต่อยอดโครงการอื่น ๆ ในอนาคต
3. พื้นที่แสดงผลงานและคอนเสิร์ต ที่มุ่งสนับสนุนและผลักดันศิลปินชาวไทยสู่ตลาดโลก ในรูปแบบต่างๆ เช่น NFT Gallery เป็นต้น
ซึ่งจะเป็นพื้นที่สำหรับการสร้าง Ecosystem เพื่อบ่มเพาะ Community ของตน สนับสนุนศิลปิน NFT ชาวไทย โดยการให้พื้นที่จัดแสดง และต่อยอดธุรกิจ (ด้านอุตสาหกรรมการเงิน) เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ๆ ในผลิตภัณฑ์ทางการเงินของบริษัท
แล้วมันน่าตื่นเต้นอย่างไร?
SCB 10X เป็นบริษัทที่แตกย่อยออกมาจาก “ธนาคารไทยพาณิชย์” ที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว โดยนับได้ว่าเป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินแห่งแรกในโลก ที่ริเริ่มพัฒนาสำนักงานใหญ่บนโลกเสมือนจริง ในแพลตฟอร์ม The Sandbox ซึ่งถือเป็นการคอนเฟิร์มอีกระลอกหนึ่งว่า Metaverse มีศักยภาพที่จะเกิดขึ้น “จริงๆ” ในอนาคต ถึงขนาดมีธุรกิจทางการเงินรายใหญ่ของบ้านเรา เล็งเห็น Potential ของมันจนมีการลงทุน และประกาศความคืบหน้าถึงแผนการพัฒนาธุรกิจแบบใหม่ ที่จะพร้อมให้บริการในอนาคต
และหากซูมลึกลงไป เราจะเห็นถึงเม็ดเงินของบริษัทรายใหญ่อื่นๆ กำลังทยอยไหลเข้ามาลงทุนในโลก Metaverse กันอยู่ต่อเนื่องไม่มีหยุด ทั้งธนาคารยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง “HSBC” ได้ทำข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนกับโปรเจค The Sandbox เข้าไปซื้อที่ดินบางส่วนเพื่อนำไปพัฒนาวงการ ESport ซึ่งมีเป้าหมายว่าจะเสริมสร้างประสบการณ์และการบริการให้กับลูกค้าปัจจุบันของธนาคาร รวมถึงชุมชนที่ธนาคารให้บริการเช่นกัน หรือก่อนหน้านี้ที่แพลตฟอร์มดังกล่าว ก็เคยได้รับเงินสนับสนุน ด้วยการระดมทุนกว่า 93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากบริษัทการลงทุนยักษ์ใหญ่อย่าง “Softbank Vision Fund 2” มาแล้วในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ยังไม่รวมถึงบริษัทในภาคอุตสาหกรรมอื่นที่ต่างเปิดเผยว่ากำลังจะมีโปรเจคพัฒนาธุรกิจแบบใหม่ ที่จะเข้ามาเป็น 1 ใน Ecosystem ในโลก Metaverse เช่น ค่ายเพลงที่มีอิทธิพลติด 1 ใน Top 3 ของประเทศเกาหลีใต้ อย่าง “YG Entertainment” และ “SM Entertainment” ก็ได้จับมือกับ “Binance” แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตและสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลก ในการร่วมกันพัฒนาโปรเจค NFT และ Metaverse เช่นกัน
.png)
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะอุตสาหกรรมไหน ก็ต่างลงทุนจับจองซื้อพื้นที่ เพื่อพัฒนาธุรกิจในอนาคตให้สอดรับกับโลก Meteverse การประกาศความคืบหน้าใน The Sandbox ของทาง SCB 10X ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงการมีอยู่ และศักยภาพของโลกเสมือนจริงใบนี้ แม้กระแสจะปรับตัวลดลง ไม่เป็นที่พูดถึงในระดับสาธารณะก็ตาม แต่ถ้าหากรอวันให้ Metaverse เกิดขึ้นจริง เป็น Mass Adoption แล้วค่อยพิจารณาลงทุน เหมือนกับคนส่วนมากในตลาดลงทุน เราก็อาจจะลงทุนในช่วงปลายน้ำ หรือในช่วงที่ราคามันพุ่งสูงไปแล้ว ฉะนั้น ตอนนี้อาจจะเป็นสัญญาณอันดีให้เราพิจารณาเลือกลงทุนในธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงกับโลก Metaverse เพื่อเป็นการสะสมความมั่งคั่ง และรอคอยการผลิดอกออกผลที่คาดว่าคงงดงามไม่น้อย ในอนาคตอันใกล้นี้
ข่าวเด่น