
นับว่าช่วงเวลาที่เราต้องอยู่กับสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 (ไวรัสโคโรน่า) ระบาดที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2019 มาจนถึงปัจจุบันที่ยังคงเป็นปัญหาอยู่นี้ ได้สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงให้กับชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ทุกคนบนโลก ไม่ว่าจะอยู่บทบาทไหน หรืออาชีพไหนก็ตาม ไวรัสตัวนี้ได้ทิ้งร่องรอยความเสียหายให้กับทุกภาคส่วน ทั้งภาคเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การคมนาคม การขนส่ง ไปจนถึงด้านสังคม ที่เกิดการเกลียดชังชาวเอเชีย หรือ Asian Hate ในประเทศฟากตะวันตก ซึ่งวิกฤตเหล่านี้มันลุกลามมาจากปัญหาของทางด้านสาธารณาสุขที่ไม่อาจควบคุมได้ เพราะการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถติดต่อกันได้อย่างง่ายดายทางระบบทางเดินหายใจ เพียงแค่เราสูดดมละอองฝอยของผู้ติดเชื้อที่ปะปนอยู่ในอากาศ แค่นี้เราก็ได้รับไวรัสเข้าสู่ร่างกาย และสามารถแพร่ไปให้ผู้อื่นต่อได้แล้ว หนำซ้ำผู้ติดเชื้อส่วนมากก็มักจะไม่แสดงอาการ หรือเพียงมีอาการเล็กน้อย อย่าง การไอ มีไข้ มีน้ำมูก หรือรู้สึกอ่อนเพลียในระยะแรกเริ่มที่มีการติดเชื้อเท่านั้น หากไม่ได้สูญเสียความสามารถในการดมกลิ่นและรับรสร่วมด้วย (ที่เป็นข้อสังเกตว่าติดเชื้อโควิดแน่ๆ) ก็แทบแยกไม่ออกว่าเราป่วยเป็นหวัดธรรมดา หรือติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่เข้าให้แล้ว การเผชิญหน้าตั้งรับกับภัยที่เราไม่คุ้นเคยมาก่อนนี้ จึงเป็นสิ่งที่ควบคุมดูแลได้อย่างยากลำบากเหลือเกิน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฝั่งของประเทศไทย ที่ภาคการท่องเที่ยวเป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจ ช่วงของต้นปี 2020 ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงเนืองแน่น และเป็นไทม์ไลน์เดียวกับที่ไวรัสได้เริ่มแพร่ระบาดเข้ามาการกักกันโรคของบ้านเราดูจะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้เลย เพราะฝ่ายภาครัฐไม่ได้ Take Action ในการควบคุมนักท่องเที่ยวอย่างจริงจังนัก และยังมีปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัยที่ผลิตไม่ทันตั้งแต่ปัญหาฝุ่น PM 2.5 อยู่แล้ว ด้วยการตั้งรับภัยที่เราไม่ทันตั้งตัวนี้ ประเทศไทยจึงเป็นอีก 1 ประเทศ ที่ไม่สามารถเอาตัวรอดจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ไปได้ เฉกเช่นกับประเทศอื่นๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับบ้านเรา ผู้อ่านคงจะเห็นกันผ่านเลนส์ของตัวเองแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นใคร เราก็โดนทำร้ายไม่ต่างกัน ไม่แง่มุมใดก็มุมหนึ่ง ตัดโอกาสในอนาคตของเรา รุมทึ้งแผนชีวิตที่เราวางเอาไว้จนไม่มีชิ้นดี ทำลายธุรกิจ เส้นทางทำมาหากินที่เราพยายามสร้างมา และผลกระทบกับสุขภาพร่างกายโดยตรง ที่ยิ่งสร้างความกังวลใจจนกระทบกับสุขภาพจิตของเราไปด้วย ทุกคนเสมือนอยู่บนปากเหวที่ไม่มีความมั่นคงใดๆ เลย
.jpg)
การหาที่ยึดเหนี่ยว เพื่อใช้เป็นที่พึ่งพิงจากความหวาดกลัวในความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น แสงสว่างแรกก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการทำประกันโควิด-19 เพราะเป็นหลักการเดียวกับการรับมือความไม่แน่นอนยอดนิยมอย่างการทำประกันชีวิต เพื่อเป็น “หลักประกัน” เอาไว้ก่อนหากเกิดเรื่องร้ายแรงทางด้านสุขภาพกายขึ้นมาในอนาคต โดยประกันโควิด-19 จะดูแลผู้ซื้อกรมธรรม์ตรงที่ถ้าหากติดเชื้อไวรัสนี้ขึ้นมา ผู้ซื้อก็จะสามารถเคลมประกันเป็นค่ารักษาพยาบาลต่างๆ เอาไว้ฟื้นฟูร่างกายตัวเองที่ไวรัสโควิดได้กัดกินไป แต่ใครจะไปรู้ว่า นี้จะเป็นสิ่งที่ซ้ำเติมผู้คน เสมือนร่วมสร้างบาดแผลให้กับคนที่เขาบาดเจ็บหนักอยู่แล้ว ให้อับจนหมดหนทางในการเอาชีวิตรอดมากขึ้นไปเอง เพราะปัญหาที่เกิดขึ้น คือ บริษัทประกันภัยบางแห่ง ที่ออกกรมธรรม์ประกันโควิด-19 ขึ้นมาได้กลับลำ ทำสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์ ซึ่งก็คือ “การยกเลิกกรมธรรม์” หรือการบิดพลิ้วจาก “เจอ-จ่าย-จบ” เป็น “เจอ-ไม่จ่าย” เสียอย่างนั้น นี้เป็นครั้งแรกที่ภาพลักษณ์บริษัทประกันภัยเกิดการสั่นคลอนอย่างมาก เพราะชี้ให้เห็นว่า ในบางบริษัทนั้นอาจไม่ได้มีความจริงใจที่จะดูแลลูกค้า ที่พวกเขาอุตส่าห์ไว้วางใจที่จะฝากชีวิตเอาไว้ แต่เพียงมองเป็นแค่ "เกมการค้า"เท่านั้น ที่เห็นความกลัวเชื้อไวรัสโควิด-19 ของผู้คนเป็นวัตถุดิบชั้นดี ที่จะสร้างผลกำไรให้กับบริษัท แต่เผอิญว่าความรุนแรงของเชื้อไวรัสนั้นมัน Intense มากจนเปิดโปงสีที่แท้จริงของบริษัทประกันภัยเหล่านั้นออกมา
“เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์” กับบริษัทประกันภัยก็สามารถใช้วลีนี้ได้เช่นกัน มาจนถึงตอนนี้เราเห็นกันแล้วว่าบริษัทประกันภัยเจ้าไหนจริงใจ เชื่อถือได้ ทำตามสิ่งที่ให้คำมั่นไว้กับผู้ซื้อกรมธรรม์จริง ยกตัวอย่าง “กรุงเทพประกันภัย” อ้างอิงจากผลขาดทุนจากการรับประกันภัยเมื่อปี 2021 อยู่ที่ 383 ล้านบาท และในปี 2022 ก็จะยังเป็นปีที่ 2 ที่มีผลขาดทุนจากการรับประกันภัยโควิด-19 ซึ่งแม้ผลกระทบจากยอดเคลมประกันภัยโควิดจะมีผลต่อฐานะเงินกองทุนฯ (CAR) ของบริษัท แต่กรุงเทพประกันภัยก็ยังคงดูแลผู้ซื้อกรมธรรม์ประกันภัยเจอจ่ายจบ และรับผิดชอบทำตามชื่อที่ตั้งไว้ โดยปีนี้บริษัทคาดการณ์ว่า ต้องจ่ายเคลมประกันภัยโควิดเป็นส่วนเกิน (surplus) เป็นจำนวน 4,500-4,600 ล้านบาท ทำให้จนกว่ากรมธรรม์ประกันภัยโควิดจะหมดอายุความคุ้มครอง บริษัทต้องจ่ายเคลมรวมทั้งหมดราว 7,700 ล้านบาท หรือคิดเป็นกว่า 10 เท่าของเบี้ยรับประกันโควิด เนื่องจากโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนติดได้ง่ายกว่าสายพันธุ์เดลต้า ทำให้ยอดการเคลมของปี 2022 อยู่ในสัดส่วนที่สูงกว่าปีก่อน จะเห็นว่าแม้มีตัวแปรอย่างการกลายพันธุ์ของเชื้อที่ติดง่ายกว่าเดิม และทำให้ยอดการเคลมประกันนั้นสูงขึ้น แต่ทางกรุงเทพประกันภัยก็ยังคงไม่ปล่อยมือคนที่ไว้วางใจฝากชีวิตไว้กับบริษัท
เช่นเดียวกับ “ทิพยประกันภัย” ที่ระบุว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส โควิด -19 สายพันธุ์โอไมครอนในปัจจุบันที่ทำให้มีการติดต่อกันได้ง่ายและรวดเร็ว ส่งผลให้มียอดจำนวนการเคลม โควิด-19 เข้ามาที่ทิพยประกันภัยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ช่องทางต่างๆ ที่ได้เตรียมไว้ให้บริการ ยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการ บริษัทฯจึงได้เร่งพัฒนาขีดความสามารถในทุกๆ ช่องทาง โดยเฉพาะ Application : TIP Flash Claim เพื่อรองรับความต้องการให้สะดวกรวดเร็วเพิ่มยิ่งขึ้น โดยลูกค้าสามารถส่งเรื่องเคลมหรือติดตามสถานะการเคลม ผ่านแอปพลิเคชันได้ทันที ง่ายๆเพียงไม่กี่ขั้นตอน สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android โดยทิพยประกันภัยยืนยันว่ายังคงให้การดูแลและพิจารณาด้านสินไหมทดแทนให้กับลูกค้าและประชาชน ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ ขอให้ลูกค้าและประชาชนมั่นใจได้ว่าจะได้รับความคุ้มครองตลอดอายุของกรมธรรม์ที่ซื้อไว้อย่างแน่นนอน
เฉกเช่นเดียวกับ “วิริยะประกันภัย” “ไทยประกันชีวิต” และ “เมืองไทยประกันชีวิต” ก็ยังคงเป็นบริษัทประกันภัยที่ไม่ทำลายความไว้เนื้อเชื้อใจของผู้ซื้อกรมธรรม์โควิดเช่นกัน หากในอนาคต เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ทำให้คุณภาพชีวิตของเราเกิดการสั่นคลอนอีกครั้ง ก็อาจจะพิจารณากรมธรรม์จากบริษัทประกันภัยดังกล่าวเหล่านี้ เพราะเราได้เห็นผลการดำเนินงานจากสถานการณ์วิกฤติดังกล่าวแล้วว่า พวกเขารับผิดชอบตามสัญญาที่ให้ไว้ และไม่ทอดทิ้งเราในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด
ข่าวเด่น