สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำย่อลงโดยทำจุดต่ำสุดบริเวณ 1,936 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากช่วงต้นสัปดาห์นาย นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาสาขาเซนต์หลุยส์ ได้ออกมาแสดงความเห็นว่าปัจจุบันเงินเฟ้อสหรัฐร้อนแรงเกินไป โดยอัตราเงินเฟ้อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาสูงถึง 8.5% ซึ่งเจมส์พยายามหนุนให้เฟดขึ้นดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.75%
ความกังวลดังกล่าว ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดบริเวณ 2.95% ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 101.00 จึงกดดันราคาทองคำให้ย่อตัวลงหลุด 1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ส่วนสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนเริ่มมีผลน้อยลง แต่ยังคงผลกระทบต่อเงินเฟ้อให้ทรงตัวสูงต่อไป (อาจจะเริ่มผ่านจุดพีคไปบ้างแล้ว) เพราะราคาน้ำมันดิบยังแกว่งตัวเหนือระดับ 100 เหรียญต่อบาร์เรล ขณะที่ SPDR ยังเข้าซื้อต่อเนื่องที่ 7.25 ตัน
ส่วนสัปดาห์นี้ต้องจับตาประกาศตัวเลข GDP Q1 ของสหรัฐว่า จะชะลอตัวลงหรือไม่ อีกทั้งประกาศตัวเลขเงินเฟ้อส่วนบุคคล Core PCE ซึ่งคาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นสอดคล้องกับภาพรวมของเงินเฟ้อของสหรัฐ อาจผลส่งให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังทรงตัวระดับสูงต่อไปได้
ฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ประเมินว่า เงินเฟ้อสหรัฐอาจผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เนื่องจากราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในเดือนเมษายนอยู่ที่ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งต่ำกว่าเดือนมีนาคมที่ราคาน้ำมันดิบทรงตัวเหนือ 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็นระยะเวลากว่า 2 สัปดาห์ เมื่อเงินเฟ้อเริ่มมีแนวโน้มย่อตัวลง บวกกับการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น กล่าวคือ เฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% และลดขนาดงบดุล เป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำในระยะถัดไป มุมมองคาดการณ์ว่า ราคาทองคำแกว่งตัวออกข้างในกรอบ 1,940-2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ไม่ผ่านแนวต้านให้เทขายทำกำไร ย่อตัวลงไม่หลุดแนวรับให้ทยอยสะสม
ส่วนบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (22 เม.ย. ) ดัชนีปรับตัวลงเคลื่อนไหวในแดนลบ ลงต่ำสุดราว -10 จุด ทดสอบบริเวณ 1,680 จุด ก่อนที่ลดช่วงลบ เหลือลบลง และดัชนีปิดทรงตัว การปรับตัวลงเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นตปท. ปัจจัยกดดันจากเฟดจะพิจารณาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% ในการประชุมนโยบายในวันที่ 3–4 พ.ค.นี้
ส่วนปัจจัยบวกในประเทศ มาจากการที่ศบค.ยกเลิก Test&Go เหลือแค่ตรวจ ATK มีผล 1 พ.ค. คาดทำให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศมากขึ้น เป็นบวกต่อเศรษฐกิจ ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,690.59 จุด +0.04 จุด 0.00% มูลค่าการซื้อขาย 70,777 ล้านบาท
ฝ่ายวิจัยคาดดัชนีสัปดาห์นี้ยังแกว่งผันผวนในลักษณะ Sideway ออกข้าง โดยมีแรงกดดันจากการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,660-1,700 จุด
สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนในสัปดาห์นี้ได้แก่ หุ้น RCL ราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ 42.25 บาท กลับมายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยทุกระดับ พร้อม Volume เริ่มกระตุก และ MACD+Slow Sto. มีค่าสัญญาณซื้อ คาดราคามีโอกาสขึ้น ทดสอบต้านที่ 48.00-52.00 บาท มีแนวรับอยู่ที่ 44.00 บาท มีจุด cut loss อยู่ที่ 43.00 บาท
และหุ้น NRF มีราคาปิดอยู่ที่ 7.30 บาท ดีดตัวจากระดับก้นหลุม โดยมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และ MACD สัญญาณบวกหนุน คาดหากผ่าน EMA-200 ที่ 7.90 บาท จะมีต้านถัดไปที่ 8.40 บาท มีแนวรับอยู่ที่ 7.05 บาท และมีจุด cut loss อยู่ที่ 7.00 บาท
ข่าวเด่น