จากที่เคยมีทุกอย่าง หมดทุกอย่างในวันเดียว จุดเปลี่ยนในวันนั้นทำให้ “ดีเจมะตูม-เตชินท์ พลอยเพชร” ได้ทบทวนชีวิต และกลับมาตั้งหลักใหม่อีกครั้ง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะดำเนินชีวิตด้วยสติ และสร้างประโยชน์ให้กับสังคม
บทเรียนชีวิตครั้งสำคัญนี้ได้รับการบอกเล่าจากเจ้าตัวชนิดเปิดอกหมดใจบนเวที “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ” จัดโดย พุทธปัญญาชมรม บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี ตามนโยบายส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งดำเนินอย่างต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 26 แล้ว
วัยเด็กของดีเจมะตูม แม้จะเกิดและโตในครอบครัวชาวพุทธที่เห็นแม่กับยายเข้าวัดอยู่เป็นประจำ แต่ขณะนั้นก็ยังห่างไกลจากความเข้าใจในธรรมะมาก จนย้ายไปศึกษาต่อที่เยอรมนีตอนอายุ 11 ปี ซึ่งการใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนนานถึง 15 ปี ด้วยปัจจัยหลายอย่างก็ยังไม่เฉียดใกล้แก่นแท้
หลังกลับมาทำตามความฝันที่อยากเข้าวงการ มีผลงานบันเทิง จนประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศ ยิ่งทำให้เจ้าตัวในวัยเพียง 20 กว่าปี ใช้ชีวิตแบบโลดโผน ไม่มีสติ
“ลุ่มหลงอยู่กับกิเลส 5 ปี หลงแสงสี กิเลส ตัณหา คำเยินยอจากคนที่ไม่รู้ว่าเขารักเราจริงหรือไม่ เคยจัดงานวันเกิดเสียเงินเป็นล้าน แขกมาร่วมงาน 400 คน แต่ไม่คิดเลยว่าในนั้นมีเพื่อนจริงๆ ที่เป็นกัลยาณมิตรเรากี่คน”
จุดเปลี่ยนคือติดโควิดปีที่แล้ว ซึ่งขณะนั้นสถานการณ์ต่างจากปัจจุบันมาก น่าจะเป็นศิลปินคนแรกของประเทศ จาก “ซุปเปอร์ สตาร์” กลายเป็น “ซุปเปอร์ สเปรดเดอร์” ในทันที
“เห็นข่าวในทีวี มันหนักมาก โทรหาทุกคนที่เคยอยู่กับเรา โทร 10 คน รับ 2 คน งานที่เคยมีถูกถอดทีละตัว มีข่าวต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ คิดว่าอนาคตในวงการคงจบลงเท่านี้ ไม่เพียงเท่านี้ยังมีเรื่องคดีความอีก เพราะตอนนั้นจัดปาร์ตี้ผิด พรก.ฉุกเฉิน วินาทีที่อยู่หน้าบัลลังก์ที่ศาลถามว่า เป็นคนของสังคม เป็นคนของประชาชน ทำไมทำผิดต่อสังคมต่อประชาชนได้มากขนาดนี้”
ได้เห็นรักแท้คือ “แม่” วันที่อยู่ไอซียูคน 400 คน ไม่เห็นใครเลย แต่ผู้หญิงที่เราไม่เคยชวนไปปาร์ตี้ ไปชอปปิ้ง เขาถือข้าวกล่องเกาะกระจกมองด้วยแววตาที่อยากให้เรามีชีวิตอยู่ต่อ ในวันนั้นได้พบสัจธรรมแรกว่า ไม่มีใครอยู่กับเราได้ตลอดเวลานอกจากตัวเราเอง และคนที่จะเสียใจถ้าเราเป็นอะไรไปก็
คือคนที่รักเรา วินาทีนั้นคิดว่าถ้าออกไปได้จะขอใช้ชีวิตอุทิศให้สังคม ซึ่งวันที่ออกจากโรงพยาบาล ก็บอกกับตัวเองว่าจะไม่พูดในฐานะดีเจมะตูมอีกแล้ว แต่เป็นนายเตชินที่ทำผิดต่อและต้องการขอโทษด้วยความจริงใจ แล้วก็หายไปจากวงการ 6 เดือน เป็นช่วงที่ไม่มีงานติดต่อเข้ามาเลย เพื่อนๆ ที่เคยมีล้อมหน้าล้มหลังหายหมด
“วันที่เราขึ้นสูงสุด ทุกคนได้เห็นธาตุแท้ของเรา แต่วันที่เราที่ตกสุด เราจะเห็นธาตุแท้ของคน”
ช่วงเวลาดังกล่าวจึงได้มาศึกษาธรรมะ มีกัลยาณมิตรที่ดีอีกหลายคน เช่น คุณหนิง-ปณิตา ธรรมวัฒนะ คุณกิ๊ก- มยุริญ ผ่องผุดพันธ์ ซึ่งเจ้าตัวรับว่าเป็นคนเข้าใจธรรมะอย่างตื้นเขิน จนตัดสินใจไปปฏิบัติธรรมที่เสถียรธรรมสถาน ได้รับการขัดเกลาอย่างอย่าง ในที่สุดก็ตระหนักว่าธรรมะอยู่ทุกที่ ใกล้ตัวเรานี่เอง เพราะธรรมะก็คือธรรมชาติ
หลังออกมาตั้งใจจะบวชให้แม่ และศึกษาทางธรรมให้ถ่องแท้ยิ่งขึ้น ซึ่งตอนนั้นก็เริ่มมีงานกลับเข้ามาแล้ว กลับมารอบนี้ได้ใช้ชีวิตอีกแบบ ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ไม่ทานเหล้า ไม่ผิดศีล กระทั่งเคลียร์คิวงานได้จะบวช ปรากฏโอไมครอนมา ที่จะเชิญแขก 300 คน ตัดสินใจประกาศยกเลิกก่อน 1 สัปดาห์ เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์มีแค่ครอบครัว และพระอุปัชฌาย์เท่านั้น
“เราไม่ได้จะบวชให้คน 300 คนมีรูป แต่จะบวชทดแทนพระคุณพ่อแม่ ตั้งใจศึกษาพระธรรม พี่อั้ม พัชราภา ตัดชุดรอไว้แล้วต้องโทรไปขอโทษ คิดว่าทำถูกแล้ว พอบวชแล้วก็เดินทางขึ้นเหนือทันที เป็นครั้งแรกที่เป็นพระแล้วขึ้นเครื่องบิน ยิ่งต้องสำรวม เพราะคนไหว้เราไม่ใช่เพราะเป็นพระมะตูม แต่เราเป็นผู้สืบ ทอดพระศาสนา คนชอบพูดว่าศาสนาเสื่อม ไม่จริงเลย ศาสนายังคงศักดิ์สิทธิ์ พระธรรมคำสอนยังคงศักดิ์สิทธิ์ คนต่างหากที่มันเสื่อม”
ดีเจมะตูมย้ำว่า ไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด บวชเรียนก็แค่ 19 วัน จะเอามาเปลี่ยน 30 ปีคงเป็นไปไม่ได้ ทุกวันนี้ก็ยังเดินหน้าศึกษาธรรมต่อ ซึ่งทำให้การกลับมาทำงานในวงการรอบนี้มีความสุขมาก ไม่คิดอยากดังเหมือนเดิม หรือต้องมีเพื่อนมากมายเหมือนแต่ก่อน คิดว่าธรรมะเป็นสิ่งทบำบัด และเป็นเกราะป้องกัน ไม่ว่าเป็นคนชาติใด ศาสนาไหน ถ้าเข้าใจแก่นของธรรมะแล้ว ชีวิตจะเดินไปได้ด้วยสติปัญญา
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบสาระดีๆ จากเวที “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ” แบบนี้ สามารถรับฟังสด และย้อนหลังได้ทาง facebook fanpage CAPLL ทุกวันศุกร์ เวลา 12.00-13.30 น. นอกจากนี้ ยังมีคติธรรมดีๆ ฟังง่ายๆ ผ่าน TikTok ที่ ธรรมะTikTok
ข่าวเด่น