คนเราเกิดมาทุกคนเท่าเทียมกัน มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ต่างกัน แต่หนทางชีวิตต่างกันเพราะการเลือกทางชีวิต แล้วต้องเลือกทางใดจึงจะพบความสุข มีชีวิตที่ดี ดร.กฤติพงศ์ เดชส่งจรัส วิทยากร 4.0 Gen R ได้ให้เกียรติมาแบ่งปันประสบการณ์ ในหัวข้อ "ชีวิตดี เพราะมีธรรม" บนเวที "เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ" จัดโดย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่
ดร.กฤติพงศ์ กล่าวนำว่า “ชีวิตเราทุกคนดำเนินด้วยหลัก คติประจำใจ หรือความเชื่อ ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้หลักธรรมอะไรในการดำเนินชีวิต ธรรมหรือธรรมะแปลว่าอะไร ธรรม หมายถึง เท่าเทียม มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้เกิดมาเท่ากันหมด แต่เมื่อเกิดมาแล้วสร้างความแตกต่างให้ตัวเราเองกับคนอื่นๆ ถ้าเราใช้หลักธรรมในการดำเนินชีวิต ทุกคนเท่าเทียมกันหมด อย่างที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เท่ากันทุกคน เราอยู่ทุกวันนี้ชีวิตคนเราสั้น อีกร้อยปีข้างหน้าจะมีคนที่อยู่ทุกวันนี้เหลืออยู่สักกี่คน ต่อให้เป็นเด็กที่เกิดใหม่ในวันนี้ วินาทีนี้เค้าจะยังอยู่ไหมในอีกร้อยปีข้างหน้า เชื่อได้ว่าไม่อยู่แน่นอน ชีวิตไม่ได้ยืนยาว อยู่ให้มีความสุข”
หลักหนึ่งที่ใช้ในการดำเนินชีวิตหรือทำงานให้เกิดความสุข คือการคิดบวก บางคนเขาใจว่าเป็นการมองโลกในแง่ดี แต่จริงๆ แล้วคือไม่ใช่ เพราะการมองโลกในแง่ดีคือการมองในด้านเดียว แต่การคิดบวกคือการมองโลกตามความเป็นจริง ซึ่งมีทั้งบวกและลบ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกมองในมุมไหน สมมติถ้าเกิดเหตุการณ์ลบๆ ร้ายๆ ขึ้นกับเรา เราเลือกจะมองมุมไหน เพื่อที่จะเป็นกำลังใจและสร้างความสุขให้กับชีวิตเรา ในทางศาสนาพุทธ คือ หลักอุปาทกมนสิการ การพิจารณาให้เกิดกุศลกรรม หรือการคิดให้เกิดประโยชน์กับตัวเองโดยมองไปที่แง่งามหรือแง่ดีของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คิดบวกคือคิดกับตัวเอง คนเราทุกคนเกิดมาทุกคนมีสิทธิเลือก ครั้งเดียวที่เลือกไม่ได้คือการเลือกเกิด
อาจารย์กฤติพงศ์ บอกว่า เรามีสิทธิเลือกตั้งแต่เราเกิดมา ตัวเลือกมีเพียงสองทางเท่านั้น คือ ถูก กับ ผิด เพราะความสุขอยู่ที่ใจของเราไม่ใช่คนอื่นเลย แล้วเราจะเลือกให้เกิดความสุขได้ยังไง ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่เราเลือก ถ้าเรามีความฝันแล้วเราจะทำอะไร นอนฝันต่อไป หรือจะตื่นมาลงมือทำ มีอยู่สองทางเท่านั้น เราจะใช้วิธีการคิดบวกมาใช้เลือกในทางที่ถูกที่ควร
จากประสบการณ์ของวิทยากรที่ผ่านมาเวลาเลือก ยกตัวอย่างเรื่องที่ต้องเลือกในชีวิต เช่น เรื่องแรก เมื่อมีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิต เราเลือกแปลความหมายของเหตุ การณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตเราในมุมไหน ทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่ละคนจะแปลอย่างไรอยู่ที่ประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมที่เติบโตมา
ยกตัวอย่าง สมมติว่าเลิกงานออกจากตึกไปแล้วฝนตกลงมา ท่านแปลความหมายของฝนตกอย่างไร พอฝนตกคนก็จะคิดแล้วว่า ฝนตก รถติด น้ำท่วม นึกถึงเหตุการณ์แย่ๆ ทั้งนั้น พอคิดแบบนี้ก็น่าถอนหายใจ แต่ถ้าเปลี่ยนการแปลความหมายใหม่ ดีจังเลยวันนี้ไม่ต้องเปิดแอร์นอน ประหยัดไฟ ฝนตกก็ไปนั่งร้านกาแฟ มีเวลาเดินในเซเว่นฯ เยอะหาของกิน การเลือกแปลความหมายฝนตกรถติดน้ำท่วมทำให้ใจห่อเหี่ยวคิดถึงแต่ปัญหา ฝนตกดีจังอากาศเย็นสดชื่นแจ่มใสมีเวลาเดินดูอะไรรอบๆ นอนเปิดหน้าต่างเย็นสบาย
มุมมองวิธีคิดของเราจะแปลความหมายอย่างไร ต่อให้เป็นคำเชิงลบ เช่น เวลาเราทำงานหรือเจออะไรที่เรียกว่ายาก ซึ่งเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น จะแปลคำว่า “ยาก” อย่างไรให้มีความสุข “ยากสิดี” เพราะเวลาที่เจออะไรยาก หมายความว่า เรากำลังทำเรื่องใหม่ๆ เจอเรื่องใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน เราจึงรู้สึกว่ายากเป็นธรรมดา เมื่อใดรู้สึกยาก ฟังจบแล้วเข้าใจ แปลว่าเรารู้เรื่องใหม่เพิ่มอีกเรื่อง มีความสามารถเพิ่มอีกอย่างจากคำว่า “ยาก”
การเลือกใส่ใจหรือจะปล่อยวาง เช่นทุกวันนี้ในติ๊กตอกก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นแย่ๆ ก็เยอะ การที่ต้องไล่ตอบ ไล่อธิบายหมายถึงเราสนใจและทำให้เราเครียด เมื่อเล่นไปนานๆ เข้าก็ต้องปล่อยวางไม่จำเป็นต้องใส่ใจทุกคอมเมนท์ สนใจเฉพาะคอมเมนท์ที่เป็นประโยชน์กับเราเท่านั้น คอมเมนท์ที่เป็นประโยชน์กับเราคือ ถ้าเขาเห็นต่างจากเรา เค้าจะบอกว่าเห็นต่างจากเรายังไง เพราะเหตุผลอะไร แล้วบอกด้วยว่า เห็นต่างจากคุณและที่ควรจะเป็นต้องเป็นยังไง นั่นคือคอมเมนท์ที่ควรใส่ใจ
การเลือกอีกอย่างหนึ่ง คือ เราเลือกใส่ใจในเรื่องที่เราควบคุมได้ดี หรือใส่ใจในเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ เราเลือกควบคุมใจเราให้เครียดกับมันไหม อะไรที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น ฝนฟ้า เราต้องเลือกปัจจัยที่เราควบคุมได้ดีที่สุดคือตัวเราเอง ไปจัดการกับสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้เช่น ฝนตกก็กางร่ม ไม่ได้ไปด่าฟ้าด่าฝน เราควบคุมตัวเราเองได้ เราควบคุมคนอื่นไม่ได้ คนบางคนมีความฝัน มีเป้าหมาย แต่พอเราริเริ่มจะทำอะไรสักอย่าง เริ่มมีเสียงคนรอบข้าง บางคนให้กำลังใจ บางคนกดกำลังใจ อย่าทำเลย เดี๋ยวก็เจ๊ง จะดีเหรอ ไม่มีทางหรอก ไปไม่รอดหรอก เราจะเจอคนพวกนี้ เราควบคุมเราเองได้ดีที่สุด ไม่มีใครมาควบคุมเราได้ ต่อให้เราไปนั่งเรียนกับอาจารย์ที่เป็นสุดยอดระดับโลก แต่เราไม่ได้นำสิ่งที่อาจารย์สอนไปใช้ไปลงมือทำความสำเร็จก็ไม่เกิด ไม่เก่งขึ้น อยู่ที่ตัวเราเองตัดสินใจทั้งสิ้น
ดร.กฤติพงศ์ สรุปให้ฟังว่า ความคิดของเราต้องมีพื้นฐานของการคิดบวก พูดกับตัวเองดีๆ เพราะเราพูดอะไรออกมามันจะเป็นไปตามนั้น เราคุยเรื่องดีดีกันอารมณ์ก็แจ่มใส เวลาเราพูดบวกและส่งพลังให้คนอื่น คนแรกที่จะได้ยินคือตัวเรา แต่ถ้าเราพูดลบ คนแรกที่เราได้ยินคือเราเช่นกัน ก่อนที่จะพูดออกไปคือผ่านการคิดก่อนแล้ว และมันอยู่ในตัวเรา ถ้าอยากชีวิตมีความสุข ก้าวหน้า เต็มไปด้วยพลังบวก คิดบวก พูดบวกส่งพลังบวกให้กัน
พบกับเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ ผ่านช่องทาง facebook fanpage CPALL ทุกวันศุกร์ เวลา 12:00-13:30 น. และสามารถรับฟังย้อนหลังได้ที่ช่องทางเดียวกัน พร้อมรับฟังคติธรรมดี ๆ ในช่องทาง TikTok ได้ที่ ธรรมะ TikTok
ข่าวเด่น