นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ได้วิเคราะห์ถึงเศรษฐกิจในประเทศไทยว่า ในสถานการณ์ของสภาวะเงินเฟ้อที่ได้รับผลกระทบไปทั่วโลก การขึ้นอัตราดอกเบี้ยโยบายเพื่อแก้ไขปัญหากังกล่าวในไทยเอง คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.มีแนวแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปถึงราวๆ 1%-1.50% ซึ่งเป็นตัวเลขสะท้อนออกมาจากการซื้อขายตราสารหนี้ในประเทศไทย แต่ไม่ได้เป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงจนเป็นที่น่ากังวล เพราะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นฟูจากปัจจัยบวก อย่างภาคการท่องเที่ยว ที่จะเป็นพระเอกในครึ่งปีหลังนี้ โดยตั้งเป้าเป้าหมายดัชนี SET Index ที่ 1,705 จุด ในไตรมาส 4 ของปีนี้ และในปี 2023 เป้าหมายดัชนีจะอยู่ที่ 1,800 จุด
มูลค่าตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้ไปถึงปี 2023 คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยจะสามารถทำกำไรได้อยู่ที่ประมาณ 10% จากพื้นฐานของภาคการผลิตอาเซียนที่หุ้นไทยยังคงเติบโต และตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ถือว่ามี Performance ที่ดีกว่าตลาดต่างประเทศ หากดูจาก YTD (Year to Date) โดยคาดว่ามาจากเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติที่ไหลกลับเข้ามาซื้อหุ้นขนาดใหญ่ของไทย ซึ่งตัวที่โดดเด่นคือกลุ่มที่เคยซบเซาลงไปในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากโควิด และกลับมาผงาดในช่วงนี้จากผลของการเปิดประเทศ คือ กลุ่มการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม กลุ่มของธนาคาร อย่างหุ้นไฟแนนซ์ที่จะกลับมาฟื้นตัว ส่วนกลุ่มค้าปลีกก็ยังน่าสนใจอยู่เช่นกัน
ในด้านของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ที่จะขึ้นอัตราครั้งต่อไปในเดือนกันยายน นายชัยพรมองว่า หากปรับขึ้น 0.75% เท่าเดิมเป็นครั้งที่ 3 ตลาดจะไม่ได้มีความตกใจมากนัก แต่ถ้าหากปรับอยู่ที่ 0.50% ภาคการลงทุนจะมีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้น เพราะอาจหมายความว่าเพดานของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดต่ำลง ซึ่งจะส่งผลดีกับภาคเศรษฐกิจของไทยด้วย โดยคาดว่าทาง Fed อาจหยุดการปรับในไตรมาสแรกของปี 2023 หนุนนำให้เศรษฐกิจประเทศไทยมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้นคล้องจองไปกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่ทยอยเข้ามา
ข่าวเด่น