นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมกรอบความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ระหว่างไทยและสิงคโปร์ (Singapore–Thailand Enhanced Economic Relationship หรือ STEER) ครั้งที่ 6 ระดับรัฐมนตรี ร่วมกับ ดร.ตัน ซี เหล็ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมคนที่สองของสิงคโปร์ ที่โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ
นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุม JTC ระหว่างไทยกับสิงคโปร์ มีชื่อว่า STEER ครั้งที่ 6 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพภายหลังก่อตั้งมาครบรอบ 20 ปีในวันนี้ มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับสิงคโปร์ 8 เดือนแรกปีนี้ ม.ค.-ส.ค. 65 มีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 436,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% ไทยส่งออกไปสิงคโปร์ได้ 240,000 ล้านบาท ขยายตัว 35% สินค้าที่ส่งออกไปสิงคโปร์สำคัญ เช่น อัญมณี น้ำมันสำเร็จรูป แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องคอมพิวเตอร์และอาหาร เช่น ไก่ ไข่ เนื้อสัตว์อื่นและเครื่องดื่มเป็นต้น ที่ไทยนำเข้าจากสิงคโปร์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า ทองคำแท่ง เป็นต้น
โดยวันนี้มี 3 กิจกรรม 1.การประชุม STEER ครั้งที่ 6 2.การทำ MOU ระหว่างไทยกับสิงคโปร์ 5 ฉบับทั้งระหว่างภาครัฐกับภาครัฐและเอกชนกับเอกชน 3.กิจกรรมจับคู่ธุรกิจออนไลน์ Online Businesses Matching หรือ OBM ระหว่างผู้ส่งออกไทย 33 บริษัทและผู้นำเข้าจากสิงคโปร์ 11 บริษัทรวมเป็น 44 บริษัท คาดว่าสามารถซื้อขายกันได้ประมาณ 30 ล้านบาท
สำหรับการประชุม STEER ครั้งที่ 6 ระหว่างไทยกับสิงคโปร์ในที่ประชุมตนได้หยิบยกประเด็นสำคัญ 5 ด้าน ประกอบด้วย 1.ด้านสินค้าเกษตร 2.ด้านเศรษฐกิจดิจิทัล 3.ด้านการลงทุน 4.ด้านการออกสินค้าไทยไปสิงคโปร์ และ 5.ด้านทรัพย์สินทางปัญญา รายละเอียดแต่ละด้าน เช่น ด้านสินค้าเกษตรตนขอให้สิงคโปร์ช่วยขึ้นทะเบียนฟาร์มออร์แกนิคที่ผลิตไข่ไก่และไข่นกกระทาของไทย เพื่อให้ไทยส่งไข่ไก่และไข่นกกระทาออร์แกนิคไปสิงคโปร์ได้ จะช่วยสัดส่วนความมั่นคงทางอาหารให้สิงคโปร์ด้วย ซึ่งท่านรับไปดูให้
และสำหรับฟาร์มไข่ไก่ทั่วไป สิงคโปร์ขึ้นทะเบียนให้ไทยแล้ว 46 ฟาร์ม และในเรื่องสินค้าเกษตร เช่น การขอให้สิงคโปร์ยืดหยุ่นกฎระเบียบในการตรวจรับรองฟาร์มไข่ไก่ของไทยให้รวดเร็วโดยไม่ต้องตรวจซ้ำซ้อนทั้ง 2 ประเทศ ทางสิงคโปร์รับไปพิจารณาต่อไป ด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ที่ประเทศไทยต้องการทำธุรกรรมทางธุรกิจกับนักธุรกิจสิงคโปร์ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ลดการใช้กระดาษ เพื่อความคล่องตัวและสะดวกของทั้ง 2 ประเทศ ทางสิงคโปร์รับหารือร่วมกันกับหน่วยงานของเราต่อไป
และอยากให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.ไทยและสิงคโปร์ ร่วมคุ้มครองผู้บริโภคที่ทำธุรกรรมออนไลน์มากขึ้น ซึ่งท่านจะไปกำกับดูแลแพลตฟอร์มให้มากขึ้น
และเรื่องการลงทุนได้เชิญชวนให้นักลงทุนสิงคโปร์ลงทุนใน EEC ในภาคธุรกิจ BCG กับเศรษฐกิจดิจิทัลในไทยมากขึ้น และได้เชิญให้สิงคโปร์ร่วมงาน STYLE Bangkok ที่จะจัดในเดือน มี.ค.66 งาน THAIFEX – ANUGA Asia 2023 เดือนพ.ค.66 และงาน Bangkok Gems & Jewelry Fair เดือน ก.ย.66 ซึ่งท่านรับปากจะเชิญชวนนักธุรกิจสิงคโปร์และผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน
และเรื่องสุดท้าย เรื่องทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งต้องการให้ความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาไทยกับสิงคโปร์เป็นไปอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการจดทะเบียนสิทธิบัตรของ 2 ประเทศ ให้มีการรับรองผลการตรวจสิทธิบัตรของประเทศใดประเทศหนึ่งแล้วให้ถือเสมือนผ่านการตรวจสอบอีกประเทศหนึ่งด้วย จะทำให้การจดทะเบียนสิทธิบัตรของ 2 ประเทศรวดเร็วขึ้น ไม่ต้องตรวจซ้ำซ้อน ซึ่งท่านรัฐมนตรีสิงคโปร์เห็นชอบด้วย
และทางสิงคโปร์หยิบยก 3 ประเด็นสำคัญประเด็นแรก ทางสิงคโปร์สนับสนุนนักธุรกิจของสิงคโปร์ให้มาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะด้านพลังงาน รถอีวี การให้บริการทั้งคำปรึกษาและด้านอื่นๆที่เกี่ยวกับสมาร์ทซิตี้ของไทย และสนใจแนวทางลดคาร์บอนนำไปสู่การได้คาร์บอนเครดิตของทั้ง 2 ประเทศร่วมกัน ประเด็นที่สอง ความร่วมมือด้านการลงทุนและธุรกิจการท่องเที่ยวเรือสำราญได้มีการหารือกัน และสุดท้ายประเด็นทรัพย์สินทางปัญญาหารือซึ่งเห็นตรงกันในเรื่องการไม่ต้องตรวจการจดทะเบียนสิทธิบัตรซ้ำซ้อน
ซึ่งนำมาซึ่งผลสรุปร่วมกัน 5 ประเด็น
ประเด็นที่หนึ่ง ไทยกับสิงคโปร์จะร่วมกันสร้างความเชื่อมั่นกับผู้บริโภคที่ซื้อขายสินค้าบริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยจะเร่งเจรจาแลกเปลี่ยนข้อมูลและกำหนดแนวทางร่วมกันต่อไป
ประเด็นที่สอง สิงคโปร์จะพิจารณาการขึ้นทะเบียนฟาร์มไข่ไก่และไข่นกกระทาออร์แกนิคให้ประเทศไทย โดยมอบหมายให้ อย.สิงคโปร์เจรจากับกรมปศุสัตว์ไทยต่อไป
ประเด็นที่สาม สิงคโปร์ยินดีเข้าร่วมงานแฟร์ที่ประเทศไทยจัดขึ้นโดยจะเชิญนักธุรกิจและภาคเอกชนเข้าร่วม
ประเด็นที่สี่ สิงคโปร์ยินดีที่จะหารือเรื่องการใช้เอกสารทำธุรกรรมทางธุรกิจผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้มากขึ้น
ประเด็นสุดท้าย การลงทุนและการทำธุรกิจเรือสำราญ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะเร่งหารือกับผู้แทนฝ่ายสิงคโปร์ จัดตั้งคณะทำงานร่วมกันขึ้นมา เพื่อส่งเสริมการลงทุนเรื่องท่าเรือ การท่องเที่ยวผ่านเรือสำราญ เพื่อประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวและการลงทุนของ 2 ประเทศ โดยตลาดเรือสำราญท่องเที่ยวมีตัวเลขสูงทั้งโลกประมาณ 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5.5 แสนล้านบาท ขณะนี้กลุ่มประเทศอาเซียนมี ส่วนแบ่งการตลาดแค่ 0.2% ยังมีโอกาสพัฒนาอีกเยอะ และเรื่อง MOU ได้มีการลงนามวันนี้ 5 ฉบับ
ฉบับที่หนึ่ง การลงนามระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาของไทยกับสิงคโปร์ เรื่องการไม่ตรวจสิทธิบัตรซ้ำซ้อน
ฉบับที่สอง ระหว่างผู้ส่งออกไก่ของไทยกับผู้ค้าเนื้อไก่ในสิงคโปร์
ฉบับที่สาม ผู้ส่งออกเนื้อหมูไทยกับผู้ค้าขายเนื้อสัตว์ของสิงคโปร์
ฉบับที่สี่ บันทึกความเข้าใจสิงคโปร์จะให้คำปรึกษาด้านการผลิตภาคเกษตรของไทย ที่จะนำไปสู่การได้คาร์บอนเครดิตเพิ่มขึ้นและฉบับสุดท้าย ปตท.ลงนามกับบริษัท สลีค อีวี จำกัด ของสิงคโปร์ เพื่อให้ปตท.เป็นศูนย์บริการเปลี่ยนถ่ายแบตเตอรี่ให้กับรถมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้าที่ผลิตในสิงคโปร์ต่อไป
ข่าวเด่น