· เงินบาทพลิกอ่อนค่าผ่านระดับ 38.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ อีกครั้ง หลังเงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวกลับจากแนวโน้มการคุมเข้มด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
· SET Index ปิดต่ำสุดในรอบกว่า 2 เดือนครึ่งท่ามกลางความกังวลต่อทิศทางดอกเบี้ยของเฟด ประกอบกับเผชิญแรงขายก่อนหยุดยาว
สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
เงินบาทกลับมาอ่อนค่าลง ทั้งนี้เงินบาทอ่อนค่าผ่านแนว 38.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ อีกครั้ง สอดคล้องกับแรงเทขายสกุลเงินเอเชียในภาพรวม ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ขยับแข็งค่าขึ้นตามทิศทางบอนด์ยีลด์ของสหรัฐฯ หลังจากที่ข้อมูลตลาดแรงงานของสหรัฐฯ เดือนก.ย. ที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดหนุนการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% ในการประชุม FOMC เดือนพ.ย. นี้ นอกจากนี้การอ่อนค่าของเงินบาทยังสอดคล้องกับสถานะขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติในระหว่างสัปดาห์ด้วยเช่นกัน
สกุลเงินเอเชียและเงินบาทเผชิญแรงกดดันต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ขยับเพิ่มช่วงบวกได้จากสัญญาณเร่งคุมเข้มนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ของเจ้าหน้าที่เฟด ประกอบยังมีแรงหนุนจากการเป็นสกุลเงินปลอดภัยหลังจากที่ IMF ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกในปีหน้าลงมาที่ 2.7% ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน สถานการณ์โควิดในจีน และการคุมเข้มนโยบายการเงินของสหรัฐฯ
ในวันศุกร์ที่ 14 ต.ค. 2565 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 38.33 บาทต่อดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับ 37.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (7 ต.ค.) ขณะที่ระหว่างวันที่ 10-12 ต.ค. นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 4,784 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflow ออกจากตลาดพันธบัตร 9,837 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 8,068 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่หมดอายุ 1,769 ล้านบาท)
สัปดาห์ถัดไป (17-21 ต.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ระดับ 37.50-38.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ กระแสเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ค่าเงินในภูมิภาค และการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กและเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนต.ค. ข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรม การเริ่มสร้างบ้านและยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ย. และรายงาน Beige Book นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนก.ย. ของอังกฤษ ยูโรโซนและญี่ปุ่น ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจจีน ได้แก่ จีดีพีไตรมาส 3/65 การผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเดือนก.ย. รวมถึงการกำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR ของจีนด้วยเช่นกัน
สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
ตลาดหุ้นไทยร่วงลงต่อเนื่อง แต่ยังไม่หลุดกรอบ 1,500 จุด ทั้งนี้ SET Index ปรับตัวลงตลอดสัปดาห์ สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด หลังจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย.ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากกว่าคาดการณ์ ประกอบกับเผชิญแรงขายลดเสี่ยงก่อนวันหยุดยาวของตลาดหุ้นไทย รวมถึงก่อนการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และบันทึกการประชุมเฟด สำหรับสัปดาห์นี้ หุ้นไทยเผชิญแรงขายจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติเป็นหลัก ซึ่งหุ้นที่ถูกเทขายกระจายอยู่ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะไฟแนนซ์ วัสดุก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์
ในวันพุธ (12 ต.ค.) ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,560.78 จุด ลดลง 1.20% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 50,938.28 ล้านบาท ลดลง 20.45% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 1.64% มาปิดที่ระดับ 631.31 จุด
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (17-21 ต.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,550 และ1,530 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,575 และ 1,585 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ผลประกอบการงวดไตรมาส 3/65 ของบจ. รวมถึงการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านใหม่ และยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ย. ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนก.ย. ของยูโรโซนอังกฤษและญี่ปุ่น รวมถึงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/65 และข้อมูลเศรษฐกิจเดือนก.ย. ของจีน อาทิ การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
ข่าวเด่น