นักวิเคราะห์กสิกรไทยชี้เงินเฟ้อโลกยังน่าเป็นห่วง คาดเฟดเตรียมขึ้นดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 4 จากเงินเฟ้อลดต่ำกว่าคาด เสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ด้านไทยเงินเฟ้อเริ่มชะลอ แต่ต่ำกว่ากรอบของ ธปท. อาจมีการขึ้นในระดับไม่เกิน 0.25% ส่วนภาคการท่องเที่ยวสดใส แต่ยังต้องระวังเรื่องค่าเงินบาทอ่อน
21 ตุลาคม 2565 จากงานสัมนมนา “จับทิศเศรษฐกิจโลกและกลยุทธ์ความผันผวนในไตรมาส 4" นางสาวภาณี กิตติภัทรกุล ผู้ชำนาญการงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย ได้กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในตอนนี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) ยังคงเดินหน้านโยบายการเงินแบบตึงตัวต่อไป เพื่อควบคุมสถานการณ์เงินเฟ้อ ที่ทำระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี แม้ค่าดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (CPI) จะถึงจุดพีคสูงสุดและทยอยลดระดับมากว่า 3 เดือนแล้ว แต่ก็ยังเป็นค่าที่สูงกว่าระดับการคาดการณ์อยู่ ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายยังคงดำเนินต่อไปในการประชุมของ Fed ช่วงต้นเดือนพ.ย. จากข้อมูลของทาง CME Group คาดว่าจะมีการขึ้นดอกเบียอีก 0.75% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 4
โดยหาก Fed มีการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงขยายตัวอยู่ โอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างเป็นทางการก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ และจะกระทบกับเศรษฐกิจโลกโดยรวมอย่างแน่นอน โดยในตอนนี้เปอร์เซ็นต์การเกิดโอกาสดังกล่าวก็เพิ่มสูงขึ้นจนอยู่ที่ระดับความเป็นไปได้ 60% แล้ว ซึ่งเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างมากคือเรื่องของหนี้ต่างประเทศที่อยู่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ การขึ้นดอกเบี้ยที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ก็จะทำให้ประเทศที่มีหนี้เป็นสกุลเงินดอลลาร์นั้นรับภาระการชำระหนี้ที่หนักหน่วงมากขึ้น กระทบกับการทำธุรกิจทั่วโลก
ในขณะที่ประเทศไทยนั้น เงินเฟ้อทยอยชะลอตัวลงมากกว่าคาด จาก 7.86% ลดลงมาเหลืออยู่ที่ระดับ 6.41% ในปัจจุบัน ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยของไทยจะไม่รุนแรงและน่าเป็นห่วงมากนัก แต่ค่าดังกล่าวก็ยังคงสูงกว่ากรอบของเงินเฟ้อของทาง ธปท. ที่วางไว้ประมาณ 1-3% อยู่ ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยยังคงมีการปรับขึ้นต่อไปเพื่อให้ลดลงเป็นไปตามเป้าหมายอย่างไรก็ตาม ทาง ธปท.ไม่สามารถขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้รุนแรงมากนัก เนื่องจากปัญหาหนี้สาธารณะ และหนี้ในครัวเรือนที่ยังคงสูงมากในตอนนี้ ซึ่งภาวะของหนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบกับเศรษฐกิจได้ ทำให้คาดการณ์ว่า ทาง ธปท.จะขึ้นดอกเบี้ยไม่เกินระดับที่ 0.25%
ส่วนด้าน นางสาวกฤติยา บุญสร้าง ผู้ชำนาญการงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวถึงเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาทว่า ตอนนี้ไทยเผชิญกับสภาวะค่าเงินบาทอ่อนค่า จากที่มองสิ้นปี ค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ได้มีการปรับการคาดการณ์ใหม่เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2565 เพิ่มขึ้นเป็น 37.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในสิ้นปีนี้ เนื่องจากปัจจัยภายในประเทศ อย่างการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่คอยหนุนหลังอยู่ ที่ยอดนักท่องเที่ยวมีการปรับเพิ่มขึ้น ณ วันที่ 8 ต.ค.2565 คิดเป็นจำนวน 6.5 ล้านคน เป็น External Demand ที่สูงขึ้น และหากเทียบกับปี 2563 ปีก่อนไวรัสโควิด-19 ระบาด มียอดนักท่องเที่ยวเข้ามาในไทยอยู่ที่ 40 ล้านคน ฉะนั้นไทยยังมีช่องว่างในการเติบโตอีกเยอะ
ภาพรวมของปีหน้า ในหลายๆ ประเทศภาวะเศรษฐกิจถดถอยยังคงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง แต่ไทย ภาพรวมยังคงสดใสอยู่ เพราะตัวเลขนักท่องเที่ยวที่มีโอกาสโตไปเท่ายอดเดิม 40 ล้านคน และตอนนี้ไทยก็เริ่มมีเงินทุนไหลเข้ามาจากนักลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะหุ้นใน Set Index ทั้งหมดอยู่ที่ 29.4%
ส่วนเรื่องที่น่าจับตามองของของเศรษฐกิจไทยในตอนนี้ คือ ประเทศจีนที่กำลังพิจารณาลดการกักตัวสำหรับคนที่เดินทางจากต่างประเทศกลับเข้ามา ให้กัก 2 วันแรกอยู่โรงแรม และอีก 5 วันให้กักตัวที่บ้าน ซึ่งเป็นสัญญาญผ่อนคลายมาตรการ Zero Covid ของจีน ทำให้คนจีนพิจารณาการมาเที่ยวในไทยมากขึ้น เป็นปัจจัยให้ค่าเงินบาทและค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น
ข่าวเด่น