Morningstar Thailand สรุปภาพรวมกองทุนรวมไทย (ไม่รวมกองทุนปิด กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ETF และ REIT) ไตรมาส 2 ปี 2565 พบว่ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิลดลง 10.8% จากสิ้นปี 2564 โดยกองทุนรวมเกือบทุกประเภท โดยเฉพาะกองทุนรวมหุ้นและกองทุนรวมตราสารหนี้มีเงินไหลออกอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยสำคัญมาจากความผันผวนของตลาดทุน ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายและเงินเฟ้อเป็นขาขึ้น ทำให้ผลตอบแทนกองทุนรวมติดลบ
จากสถานการณ์ดังกล่าว สาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้บอกว่า จึงทำให้มีคำถามว่ากองทุนรวมยังน่าสนใจลงทุนหรือไม่ คำตอบคือ “ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี” เพราะถึงแม้ว่าในระยะสั้นตลาดจะมีความผันผวน แต่หากมองการลงทุนในระยะยาวโดยเฉพาะตลาดหุ้น เช่น 3 – 5 ปี ถือว่าให้ผลตอบแทนที่ดี จึงเป็นจังหวะที่ดีในการทยอยสะสมกองทุนรวม
เมื่อสนใจลงทุนในกองทุนรวมอาจมีคำถามตามมาว่า “กองทุนรวมประเภทไหน น่าลงทุนในช่วงนี้” คำตอบคือ กองทุนรวมหุ้นเติบโต (Growth Stock Mutual Fund) ถึงแม้ปีนี้ผลตอบแทนจะปรับตัวลดลง เนื่องจากถูกกระทบจากแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เพราะในแง่ของการประเมินมูลค่าหุ้น หากอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นย่อมส่งผลต่อกำไรในอนาคตของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ทำให้มูลค่าหุ้นลดลงด้วยเช่นกัน และหากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยก็จะมีผลต่อความคาดหวังของกำไรของหุ้นลดลงไปด้วย
ในอนาคต หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) หยุดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากนั้นจะเป็นช่วงปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หุ้นเติบโตก็จะเริ่มฟื้นตัว ดังนั้น จึงเป็นโอกาสที่ดีที่นักลงทุนเริ่มเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นเติบโตในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวหรือตลาดกำลังปรับฐาน โดยหากเลือกกองทุนรวมหุ้นเติบโตได้ถูกต้อง อาจได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
ตัวอย่างกองทุนรวมหุ้นเติบโต เช่น กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ของโลก และเป็นหนึ่งในหุ้นกลุ่มที่รายได้เติบโตได้ดีในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและตลาดกลับมาเป็นขาขึ้น จากภาพจะเห็นได้ว่า เส้นสีฟ้าแทนการขึ้นลงของเศรษฐกิจ และเส้นสีแดงแทนการขึ้นลงของตลาดหุ้น เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้น บริษัทต่าง ๆ จะกลับมาลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการผลิตและบริการ ดังนั้น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง
แม้ในขณะนี้ ปัจจัยลบทั้งอัตราเงินเฟ้อและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ต่างกดดันราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีให้ปรับตัวลงแรงที่สุดในรอบ 15 ปี แต่เชื่อว่า เมื่อเงินเฟ้อโลกเริ่มนิ่ง อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลง โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เศรษฐกิจโลกจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
ดังนั้น จึงมีโอกาสสูงที่ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะกลับมา โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรม จากข้อมูลของ Bloomberg (ณ วันที่ 26 กรกฎาคม 2565) พบว่าอัตราการเติบโตของกำไรในระยะยาว (CAGR) ของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาเติบโตในระดับ 10% สูงกว่าตลาดหุ้นโดยรวม (ดัชนี S&P 500) ที่มีระดับ CAGR ที่ 6.9% ต่อปี
และหากเจาะลึกลงไปที่อัตราการเติบโตของกำไรหุ้นกลุ่ม Information Technology พบว่ามีอัตราการเติบโตของกำไรในระดับสูงอย่างโดดเด่น โดยตั้งแต่ปี 2552 – 2564 หุ้นกลุ่ม Information Technology มีกำไรต่อหุ้น (EPS) เติบโตเฉลี่ยต่อปี อยู่ที่ 22% และมีรายได้เติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 8% ต่อปี ขณะที่ระหว่างปี 2564 – 2567 คาดการณ์ว่าหุ้นกลุ่มนี้จะมีรายได้เติบโต 8% ต่อปี และมีกำไรเติบโต 13.3% ต่อปี
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
ข่าวเด่น