นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจของปีหน้าในงานสัมมนา Kasikorn Economic Outlook Thailand Forecast ว่า ในปี 2566 เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงต่อการเกิด Recession หรือสภาวะเศรษฐกิจถดถอยเพิ่มขึ้น โดยมีเปอร์เซ็นต์การเกิดสภาวะดังกล่าวอยู่ที่ 47% ซึ่งถือว่ามีโอกาสเสี่ยงสูง สอดคล้องกับดัชนี PMI หรือค่าที่บ่งชี้ถึงสภาวะทางเศรษฐกิจของภาคการผลิตและบริการล่าสุดในเดือนตุลาคมอยู่ที่ระดับ 49.4 ซึ่งเป็นค่าที่ต่ำกว่า 50 บ่งบอกถึงสภาวะเศรษฐกิจที่น่าเป็นห่วง โดยทางฝั่งของสหรัฐอเมริกาและประเทศในโซนยุโรปมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากที่สุด ซึ่งทางสหรัฐมีโอกาสเกิดขึ้น 63% สหภาพยุโรป 80% และสหราชอาณาจักรสูงถึง 90%
ส่วนประเทศในแถบเอเชียนั้นมีแนวโน้มที่ดีกว่า โดยตัวเลข GDP มีทิศทางที่เติบโตขึ้น รวมถึงในประเทศไทยที่มีคาดการณ์ว่ามีโอกาสโตแตะระดับ 3.9% จากปีนี้ 3.3% มีความเสี่ยงในการเกิด Recession 15% ซึ่งต่ำมาก และมีเงินเฟ้อ หรือค่า CPI ที่ลดลงเหลือ 2.5 จาก 6.2 ในปีนี้ ซึ่งภาคการท่องเที่ยว เป็นพาร์ทใหญ่ที่เป็นจุดเด่นและจุดเดียวในการโอบอุ้มเศรษฐกิจไทย อิงจากยอดนักท่องเที่ยวของปี 2565 ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามายังไทยอยู่ที่ 5.7 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นๆ และคาดว่าปีหน้าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามายังไทยอยู่ที่ 20 ล้านคน การบริโภคจากต่างชาติจึงมีมากขึ้น และภาคการบริการก็มีการเติบโตจากการได้รับอานิสงค์ดังกล่าว ทำให้ดุลบัญชีเงินสะพัดดีขึ้น ได้ส่วนของดุลบริการเข้ามาสนับสนุน ทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
ส่วนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ด้วยเศรษฐกิจไทยยังมีการเติบโตต่ำกว่าศักยภาพอยู่ที่ 4.7% เลยไม่ได้มีแนวโน้มที่จะการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงในอนาคต และมีการคาดการณ์ว่าไทยจะมีการขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งภายในปีหน้าไปถึงระดับ 1.75%
นายกอบสิทธิ์ ทิ้งท้ายว่า ในช่วงปีหน้าความสนใจที่เคยมุ่งไปทางเฟดในเรื่องของเงินเฟ้อจะลดลง แต่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะกลายมาเป็นปัญหาใหม่ โดยเฉพาะในฝั่งโซนยุโรป ที่มีปัญหาเกี่ยวกับพลังงานธรรมชาติ ที่เรื้อรังจากสภาวะสงครามรัสเซียยูเครน ซึ่งยังคงเดินหน้าไปพร้อมกับการขึ้นปีใหม่เพราะยังไม่มีจุดจบอย่างชัดเจน แม้ยูเครนจะยึดคืนพื้นที่จากรัสเซียมาได้มากพอสมควรแล้วก็ตาม ส่งผลให้ในปีหน้าจะเกิดความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยในช่วงต้นปีอาจเห็นค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาอีกระลอกหนึ่งจากปัญหาทางฝั่งยุโรป ก่อนจะลดระดับลงในช่วงครึ่งปีหลัง และค่าเงินบาทในปีหน้าก็มีแนวโน้มสูงขึ้นหลังเดือน มี.ค. ในกรอบ 33.50-34.00 บาท/ดอลลาร์รสหรัฐ เนื่องจากยอดนักท่องเที่ยวโต แต่ก็ต้องระวังผลกระทบในเรื่องของภาคการส่งออกด้วย
ข่าวเด่น