ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 67-80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 72-85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (12 – 16 ธ.ค. 65)
ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มฟื้นตัวเนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ในจีน ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ความกังวลต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจมีแนวโน้มผ่อนคลายลงหลังธนาคารกลางสหรัฐฯ เตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่ชะลอตัวลง ในการประชุมซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 13-14 ธ.ค. อย่างไรก็ตาม ผลเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการเผยพรรคเดโมแครตสามารถครองเสียงข้างมากในสภาสูง ขณะที่พรรครีพับลีกันสามารถครองเสียงข้างมากในสภาล่าง ส่งผลให้การอนุมัตินโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ เผชิญความยากลำบากมากขึ้น
ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้
ตลาดคลายความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในจีน หลังจีนประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ในกรุงปักกิ่งและเมืองต่าง ๆ โดยอนุญาตประชาชนกลุ่มเสี่ยงทั้งที่มีอาการและไม่มีอาการสามารถกักตัวที่บ้าน แทนมาตรการเดิมซึ่งผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงจะต้องเข้ารับการรักษาในศูนย์กักตัว ขณะที่ผู้ใช้บริการขนส่งสาธารณะ ร้านค้า และสถานที่สาธารณะต่างๆ ไม่ต้องแสดงผลการตรวจโควิด-19 ล่วงหน้า แต่สถานที่ต่าง ๆ อาทิเช่น โรงเรียนและโรงพยาบาลยังคงต้องแสดงผลการตรวจโควิด-19 ล่วงหน้า การผ่อนคลายมาตรการล๊อคดาวน์ดังกล่าวนี้ จะส่งผลให้ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
ตลาดคาดธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.5 % สู่ระดับ 4.25 – 4.50 % ในการประชุมซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 13-14 ธ.ค. หลังดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. 65 ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับ 7.7 % Y-o-Y ต่ำกว่าคาดที่ระดับ 7.9 % การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ชะลอตัวลง ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดผ่อนคลายความกังวลต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ผลการเลือกตั้งสภาสูงรอบตัดเชือก (Run-off election) ในรัฐจอร์เจีย (Georgia) ซึ่งเป็นรัฐสมรภูมิเลือกตั้ง (Swing state) ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต (Democratic) ได้รับชัยชนะ ส่งผลให้พรรคเดโมแครตได้คะแนนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งและสามารถกลับมาครองเสียงข้างมากได้อีกครั้ง ขณะที่พรรครีพับลิกัน (Republican) สามารถครองเสียงข้างมากในสภาล่างได้ ทั้งนี้จะส่งผลให้ การผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของฝ่ายบริหารมีแนวโน้มที่จะเผชิญความยากลำบากมากขึ้น
หน่วยงานศุลกากรของจีน รายงานปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบ ในเดือน พ.ย. 65 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.0% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 11.37 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 10 เดือน หลังมีการเปิดดำเนินการของโรงกลั่นใหม่ในประเทศ ขณะที่ปริมาณนำเข้าในช่วง ม.ค – พ.ย. 65 ปรับตัวลดลง 1.4 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 10.06 ล้านบาร์เรลต่อวัน
EIA รายงานสต๊อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 2 ธ.ค. 65 ปรับตัวลดลง 5.2 ล้านบาร์เรล โดยเป็นการปรับลดลงสู่ระดับต่ำที่สุดในรอบ 8 เดือน ขณะที่ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับ 12.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น 0.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า
เศรษฐกิจน่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ เดือน พ.ย. 65 และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของอังกฤษ เดือน พ.ย. 65 โดยตลาดคาดการณ์มีแนวโน้มปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า
สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (5 ธ.ค. – 9 ธ.ค. 65)
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 5.91 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 71.02 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เช่นเดียวกันกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ปรับลดลง 6.58 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 76.10 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 71.90 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังตัวเลขดัชนีภาคบริการของจีนแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน ส่งผลให้ตลาดกังวลต่ออุปสงค์ของการใช้น้ำมัน ขณะที่รายงานสต๊อกน้ำมันเบนซิน สัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 2 ธ.ค. 65 ปรับเพิ่มขึ้น 5.3 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 219.1 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับเพิ่มขึ้นเพียง 2.7 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันดีเซล ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้น 6.2 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 118.8 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นเพียง 2.2 ล้านบาร์เรล อย่างไรก็ตามตลาดยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากการเริ่มผ่อนปรนมาตรควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ในจีน
ข่าวเด่น