กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 34.55-35.30 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 34.78 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายช่วงกว้างระหว่าง 34.67-35.16 บาท/ดอลลาร์ เงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางความกังวลว่าการขึ้นดอกเบี้ยอาจจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะถดถอย ขณะที่การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคของจีนหนุนเงินหยวนแข็งค่าขึ้นแม้หลายฝ่ายคาดว่าการผ่อนปรนดังกล่าวจะไม่ราบรื่นนัก ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯลดลงจากความเสี่ยงด้านขาลงของเศรษฐกิจรวมถึงราคาน้ำมันดิบซึ่งแตะระดับต่ำสุดของปีนี้ ทางด้านเงินดอลลาร์แคนาดาเผชิญแรงกดดันหลังธนาคารกลางแคนาดาขึ้นดอกเบี้ย 50bp สู่ระดับ 4.25% ซึ่งสูงสุดในรอบเกือบ 15 ปี พร้อมส่งสัญญาณว่าการขึ้นดอกเบี้ยใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 5,148 ล้านบาท แต่มียอดซื้อพันธบัตร 14,149 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับสถานการณ์ในสัปดาห์นี้ กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่า ตลาดจะติดตามดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ย.ของสหรัฐฯและผลการประชุมดอกเบี้ยเฟดในวันที่ 13-14 ธ.ค.ซึ่งคาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 50bp สู่ 4.25-4.50% โดยนักลงทุนจะให้ความสนใจกับประมาณการดอกเบี้ย(dot plot) และแนวโน้มเศรษฐกิจรวมถึงเงินเฟ้อฉบับล่าสุดของเจ้าหน้าที่เฟด นอกจากนี้ ยังมีการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) และธนาคารกลางอังกฤษ(บีโออี)วันที่ 15 ธ.ค. อนึ่ง เราคาดว่าตลาดอัตราแลกเปลี่ยนจะผันผวนสูงหลังธนาคารกลางหลักหลายแห่งประกาศผลการประชุมรอบสุดท้ายของปีนี้
สำหรับปัจจัยในประเทศ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 5.55% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ โดยเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานซึ่งไม่รวมอาหารสดและพลังงานเพิ่มขึ้น 3.22% สูงกว่าคาดเล็กน้อย กระทรวงพาณิชย์คงประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้ที่ 6.0% และคาดว่าในปี 66 จะอยู่ที่ 2.5% โดยเป็นผลของฐานเปรียบเทียบที่สูง และราคาพลังงานที่ลดลง ข้อมูลดังกล่าวสนับสนุนมุมมองของเราที่ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปจาก 1.25% ในปัจจุบันสู่ระดับ 1.75% ในไตรมาส 1/66 ก่อนจะคงดอกเบี้ยหลังจากนั้น
ข่าวเด่น